Winamp Logo
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) Cover
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) Profile

Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)

Thai, Religion, 1 season, 437 episodes, 1 day, 19 hours, 57 minutes
About
เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
Episode Artwork

25670719pm--ทำอย่างไรจะหายโกรธ

19 ก.ค. 67 - ทำอย่างไรจะหายโกรธ : ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้ความโกรธ ความเครียด ความทุกข์ใจ เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ใจก็ยังมีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ ถ้าหากว่ามีสติ สติช่วยทำให้ถอนใจออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น เหมือนกับพาตัวเราออกห่างจากกองไฟ และต่อไป พอเรามีปัญญา แม้จะยังไม่อาจจะหมดสิ้นซึ่งความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูได้ แต่ความยึดมั่นที่ว่ามันเบาบางลง ความโกรธก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง กองไฟที่มันเกิดขึ้นก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง เพราะว่าไม่ว่ามีอะไรมากระทบ มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่กระทบกับตัวกูอีกต่อไป เพราะว่าไม่มีตัวกูตั้งแต่แรกแล้ว   แม้แต่ก้อนหินตกลงมา ถ้าหากว่ามีกระจกขวางอยู่ กระจกก็แตก แต่ถ้าก้อนหินตกลงมา ไม่มีกระจกเลย มันก็ตกลงสู่อากาศธาตุ ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มีคนมาด่า แต่ว่าเราไม่ทุกข์เลย เพราะความโกรธมันไม่ได้มากระแทกกับตัวกู เพราะไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาพูด มันก็เป็นแค่อากาศธาตุ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ใช่เข้าหูซ้ายแล้วเก็บเอาไว้ที่หูขวา แล้วก็มาทุรนทุรายกลัดกลุ้ม   ตราบใดที่ยังมีตัวกู มันก็ยังเป็นอย่างนั้น เหมือนกับใครโยนก้อนหินลงมาก็เอาตัวกูไปรับ ก็เจ็บ แต่ถ้าเขาโยนก้อนหินมา เราหลบ ไม่เอาตัวกูเข้าไปรับ มันก็ไม่เจ็บ แต่ที่เจ็บก็เพราะว่าเอาตัวกูเข้าไปรับทั้งนั้น หรือไม่ก็ไปยึด ว่าเป็นของกู 
10/21/202428 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25670718pm--ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา

18 ก.ค. 67 - ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา 
10/20/202426 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670711pm--ทุกนาทีมีค่าเมื่อมีสติ

11 ก.ค. 67 - ทุกนาทีมีค่าเมื่อมีสติ : หลายคนก็รู้ว่าเวลาเหลือน้อยแต่ว่าใจมันก็ยังไปจมอยู่กับความทุกข์ ความโศกเศร้า ความหงุดหงิด ปล่อยวางไม่ได้กับเงินที่สูญไป หรือเงินที่จ่ายเกิน รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะไปหมกมุ่น แต่ว่ามันก็ยังหมกมุ่น อันนี้เพราะว่าไม่มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า สัมมาสติ ถ้าเรามีสติโดยเฉพาะสติที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ การที่ใจมันจะไม่ไปจมอยู่กับความทุกข์เพราะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง และทำให้มาอยู่กับปัจจุบัน และชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่กับปัจจุบัน หรือทำสิ่งที่ทำให้เวลาที่มีอยู่เกิดประโยชน์ อันนี้เรียกว่าทำปัจจุบันให้มีคุณค่า ซึ่งก็เป็นการเพิ่มสุขให้ใจ ไม่ใช่มาซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจ   ฉะนั้น เราจะใช้เวลาให้มีคุณค่าได้มันต้องมีสติด้วย เพราะถ้าไม่มีสติมันก็หลุดลอยไปกับความทุกข์ยามที่เจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ว่าเกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับร่างกาย เกิดขึ้นความสัมพันธ์ หรือเกิดขึ้นกับหน้าตา 
10/19/202426 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25670710pm--ดูแลตัวกูไม่ให้กำเริบ

10 ก.ค. 67 - ดูแลตัวกูไม่ให้กำเริบ : คนจำนวนไม่น้อย เวลาต้องการอวด ต้องการประกาศตัวตน ไม่รู้ตัวเลยนะว่ามันเป็นการประจานตัวเอง ว่ามีความยึดติดถือมั่นในตัวตน หรือว่าหลงอยู่ในอำนาจของตัวมานะมาก อยากจะประกาศว่านี่กูนะ นี่กูเก่งนะ นี่กูดีนะ แต่ว่ามันกลับเป็นการเผยให้คนเห็นว่า ที่พูดมากิเลสทั้งนั้น หรือเป็นความหลงยึดหลงติดในตัวกูทั้งนั้นแหละ แล้วเดี๋ยวนี้มีแบบนี้เยอะเลย เห็นได้ทางโซเชียลมีเดีย ทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม การประกาศตัวตนโดยไม่รู้ตัว เพื่อเรียกร้องเรตติ้ง หรือเพื่อแสวงหาคำชื่นชมสรรเสริญ เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่โดยที่ไม่ได้คิดว่า มันเป็นตัวที่ทำให้กิเลสครองใจ แล้วสุดท้ายตัวเองก็ทุกข์ ทุกข์ที่คนไม่เห็นความเก่งของเรา จนต้องอวด เพราะถ้าไม่อวด เขาก็จะไม่เห็นความดีของเรา ไม่เห็นความเก่งของเรา หรือบางทีอวดแล้ว ปรากฏว่าคนก็ยังไม่ได้ชื่นชมสรรเสริญมากเท่าไหร่ ก็ทุกข์   เดี๋ยวนี้เพียงแค่โพสต์อะไรไปแล้วคนไม่กดไลค์หรือคนกดไลค์น้อยก็ทุกข์แล้วนะ นี่ขนาดยังไม่ได้โดนตำหนิ ยังไม่ได้โดนทักท้วง ยิ่งถ้าเกิดถูกทักท้วง ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ คนเดี๋ยวนี้ผิวบางมาก แตะต้องไม่ได้ ทักท้วงไม่ได้ เพราะว่าปล่อยให้กิเลสครองใจ 
10/18/202428 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670708pm--ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจที่ขาดสติ

8 ก.ค. 67 - ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจที่ขาดสติ : พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า โจรกับโจรทำร้ายกัน มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากเท่ากับจิตที่ฝึกไว้ผิด หรือจิตที่วางไว้ผิด จิตที่ฝึกไว้ผิดหรือจิตที่วางผิด ก็คือจิตที่ปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จินตนาการ แล้วก็เชื่อความคิด เชื่อจินตนาการนั้น อันนี้ยังรวมไปถึงจิตที่ยึดติดถือมั่นในสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วรวมอยู่ด้วย เช่น คนที่สูญเสียทรัพย์ บ้านถูกยึด ไฟไหม้ หรือสูญเสียคนรัก ที่จริงความสูญเสียนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสิ่งภายนอก สิ่งนอกตัว แต่พอไปยึดติดถือมั่น วางไม่ได้ มันก็ส่งผลทำร้ายจิตใจ หรือทำให้จิตใจเกิดการปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จนกระทั่งมันทำร้ายร่างกายของตัวเอง เริ่มต้นที่หัวใจก่อน หัวใจแย่ แล้วหัวใจก็ทำให้อวัยวะส่วนอื่นพลอยเสียหายไปด้วย   ฉะนั้นให้เราตระหนักว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือใจของเรา ใจถ้าหากว่าฝึกไว้ดี ก็สามารถจะนำสิ่งดี ๆ มาให้กับเราอย่างที่พ่อแม่ให้ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพุทธภาษิต สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เราควรจะได้ก็มาจากใจนั่นแหละ แม้แต่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ทำให้ไม่ได้ นั่นคืออะไร คือความสุข ความอิสระ นิพพานซึ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดเท่าที่มนุษย์เราพึงจะเข้าถึงได้ แม้กระทั่งเทวดา มาร พรหม ก็ไม่อาจจะเข้าถึงได้ดีเท่ามนุษย์ ก็เกิดขึ้นได้ บรรลุได้ก็ด้วยใจของเรานั่นแหละ ใจที่ฝึกไว้ดี แม้จะเจอความสูญเสีย เจอความทุกข์ เจอความเจ็บป่วยอย่างไร ใจก็ยังผ่องแผ้วอยู่ได้ 
10/17/202424 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670707pm--ธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก

7 ก.ค. 67 - ธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก : การปฏิบัติจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ยาก เวลาใครมาถามว่าจะปฏิบัติอย่างไร ก็บอกเขาว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น ทำอะไรก็ทำด้วยใจเต็มร้อย ตัวอยู่ในห้องน้ำใจก็อยู่ห้องน้ำ ตัวอยู่บนที่นอนก็ใจก็อยู่ในห้องนอน ไม่ใช่ไปอยู่ที่อื่น การปฏิบัติแบบนี้นี่ที่เรียกว่าสร้างสติทำความรู้สึกตัว มันก็จะช่วยทำให้การรักษาศีลเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าหากว่ามีสติ ความรู้สึกตัวแล้ว โลภะโทสะก็จะมาครอบงำได้ยาก มันก็จะบังคับให้ผิดศีลได้ยาก มันก็เป็นการเสริมการสมาทานศีลการรักษาศีล แล้วมันก็ไปส่งเสริมปัญญาด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของกายและใจ ต่อไปก็จะเข้าใจ เห็นเลยว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่รูปกับนาม กายก็ไม่ใช่เรา ใจก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราทั้งกาย ไม่ใช่ของเราทั้งใจ มันก็จะเห็นสัจธรรมความจริงจากการปฏิบัติ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องยาก มันอยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่ความเพียรนั่นแหละ การปฏิบัติไม่ใช่ยาก แต่ยากตรงที่การลงมือปฏิบัติ และทำอย่างต่อเนื่อง ที่จริงพุทธศาสนา สาระสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ก็อย่างที่ท่านพอมยุมบอก อยู่ที่ไหนถ้าทำใจให้สงบบริสุทธิ์สะอาด ตรงนั้นก็เป็นวัดแล้ว การปฏิบัตินั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติชอบ และนี่คือพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ได้มีพิธีกรรมอะไรมาก ส่วนเรื่องหลักธรรมนี่ก็เป็นสิ่งที่ตามมาทีหลังจากการปฏิบัติ   ถ้าเราทำให้พุทธศาสนานี่เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะไม่ใช่ง่ายต่อการเข้าใจเท่านั้น แต่ง่ายต่อการปฏิบัติด้วย คนก็จะเห็นคุณค่าของพุทธศาสนามากขึ้น แล้วก็เอาพุทธศาสนาหรือการปฏิบัตินี่มาช่วยแก้ปัญหาชีวิตของตนได้ 
10/16/202427 minutes
Episode Artwork

25670706pm--ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น

6 ก.ค. 67 - ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น : ถ้าเราเห็นความจริงว่า รูปและนาม กายและใจ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เวลามีความปวดก็ไม่ใช่เราปวด ถ้าเห็นความจริงแบบนี้ เวลามีความปวดมันทุกข์น้อยกว่า คนที่เห็นว่าที่ปวดนี่คือกายปวด ไม่ใช่เราปวด ที่โกรธนี่มันคือความโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ มันช่วยทำให้หลุดจาก หรือเพลา หรือเบาจากความทุกข์ไปได้เยอะเลย คนที่ทุกข์มากเพราะว่าไม่ได้คิดว่ากายปวด แต่ไปคิดว่ากูปวด ไปสำคัญมั่นหมายว่าความโกรธเป็นกู เป็นของกู นี่ก็เหมือนกัน ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง แล้วเห็นอีกว่ามันมีกูมีของกู เห็นอยู่ว่าเราโกรธ เราดีใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพราะมันไม่มีเราตั้งแต่แรก จะเห็นความจริงให้ได้นี่ ต้องมีสติเบื้องต้น เห็น ไม่เข้าไปเป็น   เมื่อเห็นไม่เข้าไปเป็น มันก็จะเห็นเลยว่าความโกรธนี้อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง ความปวดก็อันหนึ่ง กายก็อันหนึ่ง จะว่ากายปวดก็ไม่เชิง เพราะว่าความปวดก็เพียงแต่อาศัยกายเป็นที่เกิด แล้วยิ่งไปคิดว่ากูปวดฉันปวดด้วยแล้วนี่ มันก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาก แต่เพราะไม่เห็นความจริงนี่แหละจึงทุกข์กันเยอะ เวลาปวดก็กูปวด กูปวดมันก็เลยยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ   ฉะนั้น ที่ว่าความจริงเป็นมากกว่าที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป อันนี้มันเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา ทั้งในทางโลกและทางธรรม เวลาจะซื้อของอะไรหรือเวลาเจอโชค ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่โชคดีอย่างเดียวก็ได้ มันอาจจะแฝงโชคร้ายเอาไว้ หรือเวลาเจอโชคร้าย ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะเป็นโชคดีที่แฝงอยู่ก็ได้ ความจริงอาจจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เห็น เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญมาก 
10/15/202424 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25670705pm--ปฎิบัติเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น

5 ก.ค. 67 - ปฎิบัติเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น : ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา มันก็ดีทั้งนั้นถ้าเรารู้จักใช้ เพราะฉะนั้นเวลาปฏิบัติถ้าเรารู้จักมองได้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าบวกหรือลบ แม้ว่ายังไม่ทันได้ความสงบ ยังไม่ทันได้สติ ไม่ทันได้ความรู้สึกตัว แต่ก็ได้เรียนรู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างจากใจของเรา ซึ่งอันนี้เป็นตัวเพิ่มปัญญาให้เจริญงอกงามมากขึ้น และถ้ามองให้เป็น มันได้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติแล้ว ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะมองเป็นหรือเปล่า หรือว่าอยู่ที่จะหาประโยชน์จากมันได้หรือเปล่า
10/14/202425 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670704pm--คาดหวังน้อยก็ทุกข์น้อย

4 ก.ค. 67 - คาดหวังน้อยก็ทุกข์น้อย : แต่ผู้คนไม่ค่อยตระหนักว่าความทุกข์ใจของตัว แท้จริงไม่ได้เกิดจากคนอื่น มันเกิดจากความคาดหวังของเราเอง อย่างที่เราสวดทุกเช้า “มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์” การที่เราไม่ได้อะไรนี้ มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ถ้าหากว่าสิ่งที่เราไม่ได้นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา การที่เราแค่ไม่ได้อะไรนี้ มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ จนกว่าเราจะปรารถนาสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็น สว. เราทุกข์หรือเปล่า เราไม่ทุกข์เพราะเราไม่อยาก ต้องมีความอยากก่อน แล้วไม่ได้จึงจะทุกข์   พูดอีกอย่างก็คือว่า ความอยากคือเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ เราไม่ได้อะไรตั้งหลายอย่าง ทำไมเราไม่ทุกข์ ก็เราไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่ได้ เราก็ไม่ทุกข์ รางวัลที่ 1 เราก็ไม่ได้อยากได้ เพราะฉะนั้นถึงไม่ได้รางวัลที่ 1 หรือว่าเลขท้าย 2 ตัว เราก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้มีความคาดหวัง ไม่ได้มีความอยาก   ในทางตรงกันข้าม ได้อะไรแล้ว แต่ถ้าเราไม่อยากหรือไม่คาดหวัง บางทีอาจจะทุกข์ เช่น กินข้าวอิ่มแล้ว แต่ก็ยังมีคนเอาของมาให้กิน ทั้งที่อร่อยแต่เราไม่อยากแล้วเพราะเราอิ่ม หรือไม่มีการเจริญอาหาร การกินเข้าไปมันทำให้พะอืดพะอม ทั้งที่เป็นของอร่อย ของดี แต่เราไม่อยาก   ลองมาคิดดูดี ๆ การที่เราเจออะไร จริง ๆ สิ่งที่เราเจอไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก แต่ถ้าหากว่าเราจะทุกข์ก็เพราะเราไปคาดหวังในสิ่งที่มันไม่เป็นจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ตรงกับความคาดหวัง 
10/13/202427 minutes, 12 seconds
Episode Artwork

25670703pm--ปฎิบัติธรรมทำไม ในเมื่อยังไม่ทุกข์

3 ก.ค. 67 - ปฎิบัติธรรมทำไม ในเมื่อยังไม่ทุกข์ : เราไม่ควรจะรอให้เกิดความทุกข์เสียก่อน ทุกข์มาถึงตัวถึงค่อยสนใจปฏิบัติธรรม ในขณะที่เรามีสุขภาพดี มีการงานที่ราบรื่น ครอบครัวอบอุ่น ควรเป็นเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร อย่างน้อย หนึ่ง ให้รู้จักรักษาใจ ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปอยู่กับอดีต จมในอนาคต ปรุงแต่งกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อดีตผ่านไปแล้ว แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ไม่ควรจะไปจมปลักอยู่กับมัน อนาคตมันจะเลวร้ายอย่างไรก็ยังไม่รู้ อย่าไปปรุงแต่งล่วงหน้า ถ้าหากรู้จักเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ เพราะทุกวันนี้เราซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ด้วยการปล่อยใจให้จมอยู่กับอดีต หรือไม่ก็ไปรออยู่อนาคต   สอง รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ เพราะว่าคนเราทุกข์ก็เพราะความคิด แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ทุกข์เพราะหลงไปในความคิดต่างหาก ทุกข์เพราะหลงเข้าไปในอารมณ์ ถ้าหากว่ารักษาใจไม่ให้หลงเข้าไปในความคิด ไม่ให้หลงเข้าไปในอารมณ์ได้ มันคิดก็คิดไป แต่ใจไม่ไหลไปกับมัน จะมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ จะมีความเครียดเกิดขึ้นในใจ ก็รู้ทัน ไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เรียกว่าเห็น ไม่เข้าไปเป็น   นี่ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ หรือถ้าให้ดีก็คือ เปิดใจเห็นสัจธรรมความจริง ว่ามันไม่มีอะไรเที่ยง มีขึ้นมีลง มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก เป็นของคู่กัน ถึงเวลาเจอความสูญเสียพลัดพราก เจอความเจ็บป่วย มันก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา อันนี้แหละคือความหมายของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ใจสงบ หรือว่าพาใจออกจากปัญหา หรือหนีปัญหาชั่วคราว   แต่แม้กระนั้นแค่นี้ก็ยังดี เพราะพอเราพาตัวออกจากปัญหา หรือได้พักใจสักหน่อย ก็ทำให้พอมีสติมีกำลังที่จะไปสู้ต่อไป บางทีเราต้องรู้จักเว้นวรรคให้กับชีวิตบ้าง หรือว่ารู้จักสับสวิตช์ คือสับคัตเอาท์ ไม่ใช่ปล่อยให้มันคิดเรื่อยเปื่อยไป จนกระทั่งเป็นทุกข์หนักขึ้น อย่างน้อยเรารู้จักพักมันบ้าง หรือรู้จักสับคัตเอาต์ รู้จักเว้นวรรคให้กับความคิด รู้จักพักใจ อย่างนี้ยังช่วยได้   แต่จะให้ดีก็ต้องเปิดใจให้เห็นสัจธรรมความจริง จนกระทั่งไม่หลงเพลิดเพลิน ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายที่มีที่เป็น เมื่อไม่ยึดมั่น ถึงเวลามันแปรปรวนไป ใจก็ไม่ทุกข์ 
10/8/202427 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25670629pm--พักใจไว้กับธรรม

29 มิ.ย. 67 - พักใจไว้กับธรรม 
10/7/20241 hour, 1 minute, 58 seconds
Episode Artwork

25670629pm--ถามตอบปัญหาธรรม

29 มิ.ย. 67 - ถามตอบปัญหาธรรม 
10/6/202429 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670625pm--ทุกข์เพราะใจ ได้กลายเป็นเสีย

25 มิ.ย. 67 - ทุกข์เพราะใจ ได้กลายเป็นเสีย : ถ้าเรานึกแบบนี้เอาไว้ก่อน มันก็ไม่ทุกข์มากหากว่าจะต้องเจอ แล้วเรื่องนี้ยังสอนอีกนะ คนหลายคนมักจะถือคติว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก พอมีลดราคาก็รีบซื้อก่อน ก่อนที่จะหมดโอกาส แต่พอซื้อไปแล้วถึงค่อยพบว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม คนเราบางทีมันก็ยากนะว่าเมื่อไหร่น้ำขึ้นให้รีบตัก หลายคนถือคตินี้แหละ น้ำขึ้นให้รีบตัก พอเขาลดราคาก็รีบซื้อเลย กลัวหมด แต่พอผ่านไปสองสามอาทิตย์ สองสามเดือนมันลดกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม รู้อย่างนี้รอดีกว่า คนเราบางทีต้องรู้จักถือคติช้าๆได้พร้าเล่มงาม ก็คงไม่มีเหตุจะต้องทุกข์ เป็นเพราะเราเชื่อว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ก็เลยต้องมาเสียใจ แต่ถ้าวางใจถูกมันก็ไม่มีเหตุผลต้องเสียใจ   ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องได้หรือเสีย มันเป็นเรื่องการมอง มองไม่เป็นได้คือเสีย มองไม่ถูกมากก็คือน้อย มองไม่เป็น ซื้อถูกก็เข้าใจว่าซื้อของแพง ต้องกลับมาทักท้วงใจเราบ้าง อย่าปล่อยให้ใจมันเล่นตลกหรือปั่นหัวเรา ปัญหาที่ไปเชื่อความคิดในหัวเรามากเกินไป มันถึงทุกข์ กลุ้มใจจนนอนไม่หลับใจได้กลายเป็นเสีย 
10/5/202429 minutes, 37 seconds
Episode Artwork

25670624pm--ชีวิตสมบูรณ์แบบได้ด้วยการลดละ

24 มิ.ย. 67 - ชีวิตสมบูรณ์แบบได้ด้วยการลดละ : การที่คนเรานี่คิดแต่จะเอาอย่างเดียวนี่มันมันไม่พอ มันต้องคิดถึงการให้ด้วย การได้แชมป์หรือการยิงประตูเข้าเนี่ย อย่างที่บอกนะเป็นเรื่องยากก็จริง แต่การสละโอกาสที่จะได้แชมป์สละโอกาสที่จะยิงประตูเข้าเพื่อให้เพื่อนร่วมทีมเขาได้ยิงประตู หรือว่าสละโอกาสเพื่อไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่กำลังลำบากเนี่ย อันนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า แล้วเพราะฉะนั้นใครที่ทำได้เนี่ยจึงได้รับการชื่นชมสรรเสริญ อันนี้เป็นคุณธรรมที่เราทุกคนควรจะตระหนัก อย่าคิดถึงแต่การได้ แต่ต้องนึกถึงการให้ด้วย เพราะว่าอันที่จริง ถึงเวลาที่คนเรากำลังจะหมดลม เมื่อคนเราใกล้จะตายมันไม่ค่อยได้คิดหรอกว่า มีอะไร ได้อะไร สิ่งนั้นไม่ได้ช่วยเลย กลับทำให้ทุกข์เสียอีก   แต่สิ่งที่ทำให้เราภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา แล้วก็สามารถที่จะยอมรับความตายได้ คือการที่เราได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือผู้คน ได้เสียสละ ได้ทำสิ่งที่มีคุณค่า เงินทองที่ได้หรือรางวัลที่คนอาจจะพูดถึงชั่วคราว แต่ที่คนเขาจะกล่าวถึงยาวนาน คือความเสียสละ ความมีน้ำใจ ความขเอื้อเฟื้อ อันนี้คือสิ่งที่สำคัญกว่า ซึ่งนับวันในวงการกีฬาก็จะลบเลือนไป   สิ่งที่โรนัลโด้ทำ ชี้ให้เห็นเลยว่า การยิงประตูเข้าททนี่มันไม่สำคัญเท่ากับการที่เปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้ยิง อันนี้คือน้ำใจที่ใครๆ ก็สรรเสริญ 
10/4/202426 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670623pm--สุขเพราะช็อป ก็ทุกข์เพราะช็อป

23 มิ.ย. 67 - สุขเพราะช็อป ก็ทุกข์เพราะช็อป : เวลาใจเราไม่ยอมรับกับประสบการณ์บางสิ่งบางอย่าง หรือว่ายังรู้สึกเสียดายเงิน ไม่ต้องการจ่ายแพง หรือรู้สึกละล้าละลังเวลาจะซื้อของอะไร บางทีก็ต้องอาศัยการตัดใจ ยอมรับผลที่เกิดขึ้น แล้วก็ฝึกใจปล่อยวาง เรียกว่าเป็นการกล่อมเกลาจิตใจ แล้วที่สำคัญ ต้องเตือนใจว่า “ถ้าปรารถนาความสุขจากการซื้อของ ก็ต้องเตรียมใจทุกข์กับการซื้อของได้เลย” คนเรามักจะมองเห็นแต่ด้านดี “โอ ซื้อของ ฉันจะได้ของใหม่ มีความสุขกับการช็อป” แต่ลืมไปว่าอะไรที่ให้ความสุขกับเรา ก็สามารถจะทำความทุกข์ให้กับเราได้ ของที่เราพอใจที่ได้ซื้อมาเมื่อเช้า ตกบ่ายมันกลับกลายเป็นตัวทิ่มแทงใจเรา เพราะมันกลายเป็นของแพงไปเสียแล้ว อันนี้เป็นข้อเตือนใจคนเราได้อย่างดีเลย “สุขเพราะอะไร ก็เตรียมใจทุกข์เพราะสิ่งนั้นได้”   ฉะนั้น ถ้าจะให้ดีก็อย่าไปปล่อยใจเพลินหรือมีความสุขกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาก เพราะว่าวันดีคืนดีมันก็สามารถจะทำให้ใจเป็นทุกข์ได้ โดยเฉพาะผู้คนที่ปรารถนาความสุขจากการช็อป จากการซื้อ โดยเฉพาะซื้อของถูกนี่ ถ้าวางใจไม่ถูก มันก็จะเจอความทุกข์ชนิดที่ไม่คุ้มกับเงินทองที่เสียไปเลย 
10/3/202423 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25670621pm--เติมสติให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

21 มิ.ย. 67 - เติมสติให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต : ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ จะเห็นเลยว่า ความคิดนี่แม้ว่ามันจะยืดจะยาวเป็นสาย แต่จะมีจุดหนึ่งที่เกิดความระลึกได้ หรือความรู้ตัวขึ้นมา พอรู้ตัวขึ้นมานี่ ความคิดที่ยืดยาวเป็นสายสะดุดเลย เหมือนกับว่าจิตหลุดจากความคิด หรือกระแสความคิดนั้น คนเรานี่ไม่ใช่ว่าจะหลงไปได้ตลอด จะหลงไปถึงจุดหนึ่งหรือฟุ้งไปในจุดหนึ่ง ก็เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา หรือรู้ตัวว่าเผลอไป แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ จิตจะกลับมา กลับมาอยู่กับการปฏิบัติ กลับมาอยู่กับการทำในสิ่งนั้นๆ ในปัจจุบันขณะ เช่น ฟังบรรยายหรือสวดมนต์ ขณะที่ฟังบางช่วงใจลอย คิดถึงลูก คิดถึงงานการ แต่แล้วความคิดนี่ก็เกิดหยุด สะดุด เพราะเกิดความรู้ตัว ตรงนั้นแหละแปลว่าสติทำงานแล้ว สติ คือความระลึกได้ เมื่อเราระลึกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ นั่นคือสติ และการปฏิบัติของเราก็คือทำให้เกิดความระลึกได้บ่อยๆ จะระลึกได้บ่อยๆ ก็ต้องทำเยอะๆ ให้เวลามากๆ ชั่วโมงแรกๆ อาจจะรู้สึกตัวหรือระลึกได้แค่ 6-7 ครั้ง ที่เหลือคือฟุ้ง แล้วก็หลง แต่พอเราทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ จะระลึกได้บ่อยขึ้น ไม่ใช่ 5-6 ครั้งใน 1 ชั่วโมง แต่ว่าอาจจะ 9 หรือ 10 ครั้งใน 1 ชั่วโมง และถ้าทำต่อไปอีกวันรุ่งขึ้นก็อาจจะระลึกได้ไม่ใช่ 9 หรือ 10 ครั้งแล้ว แต่ 15 ครั้ง แปลว่าอะไร แปลว่าความคิดมันสั้นลง ๆ   เคล็ดลับของการปฏิบัติก็คือ เคล็ดลับของการเจริญสติก็คือทำให้ความรู้สึกตัวมันเกิดขึ้นบ่อย ทำให้ความระลึกได้เกิดขึ้นบ่อยๆ จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ คือต้องทำเยอะๆ แล้วก็ทำแบบไม่ได้คาดหวัง เพราะถ้าคาดหวัง ไปจ้อง ไปเพ่ง ไปทำงานแทนสติ แทนที่จะปล่อยให้สติทำงาน ก็อาจจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ ต้องให้สติมันทำงานเอง หรือเกิดความระลึกขึ้นมาได้เอง สิ่งที่เราทำได้คือให้โอกาสสติเขาได้ทำงานบ่อยๆ ให้โอกาสสติทำงานบ่อยๆ คือการที่เราให้เวลากับการปฏิบัติเยอะ ๆ
10/2/202424 minutes, 31 seconds
Episode Artwork

25670620pm--ขุมทรัพย์ล้ำค่ากลางใจ

20 มิ.ย. 67 - ขุมทรัพย์ล้ำค่ากลางใจ : แต่ก่อนเถียงกันแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อปกป้องความคิดใดความคิดหนึ่ง พอออกมาดูความคิดนั้นก็รู้ว่าไม่มีอะไรเลย แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทําไมตอนนั้นเราไปเป็นบ้าเป็นหลัง เอาเป็นเอาตายกับการปกป้องความคิด หรือตอนจมอยู่ในอารมณ์ ขลุกอยู่ในอารมณ์ก็ถูกอารมณ์ปั่นหัวจนกระทั่งต้องทำตามอำนาจของมัน แต่พอถอยออกมาจากอารมณ์นั้นก็พบว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจด้วยซ้ำ และพบว่ามันไม่ได้มีอำนาจเหนือใจเราขนาดนั้น ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า พอเราถอยออกมาดู มันหมดพิษสงไปเลย กลายเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ตอนที่เข้าไปขลุกอยู่ในอารมณ์ มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เวลาโกรธถึงกับโวยวายว่า ถ้ากูไม่ด่ามัน กูไม่ได้ทำร้ายมัน เป็นหมาดีกว่า แต่พอถอยออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น โอ้ หัวเราะเยาะมันได้เลย มันทำอะไรเราไม่ได้ การถอยออกมาทำให้เราเห็น เห็นอย่างที่มันเป็น และเห็นว่ามันไม่ใช่เราด้วย แต่ก่อนไปคิดว่า มันเป็นเรา ๆ ๆ ความคิดก็เป็นเรา อารมณ์ก็เรา แต่ที่จริงมันไม่ใช่เราเลย พอเห็นความจริงว่ามันไม่ใช่เรา มันหมดพิษสงไปเลย ความคิดและอารมณ์นั้นไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความโลภ ความโกรธ ความหงุดหงิด   การเจริญสติ ก็คือ การทำให้ใจถอยออกมาเป็นผู้ดูผู้เห็น ไม่ใช่ผู้เป็น บางครั้งการที่เราจะรู้จักอะไรดี ต้องอาศัยการถอยออกมา แล้วเราจะพบว่า ความทุกข์ที่เราเคยเอาเป็นเอาตายที่จริงมันไม่มีอะไรเลย และการที่เราถอยมาทำให้เราได้เห็นสิ่งที่มีค่าที่มีอยู่แล้วในใจของเราด้วยก็ได้ 
10/1/202428 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25670616am--สวดมนต์ให้ได้ทั้งบุญและธรรม

16 มิ.ย. 67 - สวดมนต์ให้ได้ทั้งบุญและธรรม : เวลาเรามาสวดมนต์ อย่านึกถึงแต่บุญ ให้นึกถึงธรรมะด้วย เราสามารถจะเรียนรู้ธรรมจากการสวดมนต์ได้ ไม่ว่าจากการอ่านบทสวดมนต์ ถ้าเป็นภาษาไทยหรือมีการแปล เราก็ได้ธรรมะ อย่างเช่น ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข ความสุขไม่ได้เกิดจากการได้ แต่เกิดจากการสลัด สลัดของหนัก นี่ก็ธรรมะ หรือว่าฝึกสติในขณะที่สวดมนต์ นี่ก็ธรรมะ ฝึกสติ ใจไหลใจลอยไปไหนก็ดึงกลับมา ใจหงุดหงิดขุ่นมัวก็ให้ปล่อยให้วางสิ่งที่ทำให้วิตกหรือหงุดหงิดขุ่นมัว ถ้าเราเข้าใจจุดมุ่งหมายของการสวดมนต์ได้ถูกต้อง เราก็จะได้ทั้งบุญทั้งธรรม เวลาทำบุญเราก็ได้ทั้งบุญและธรรม ไม่ว่าจะทำบุญด้วยการถวายสังฆทาน หรือทำบุญด้วยการรักษาศีล 
9/30/202431 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25670615pm--ในสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุข

15 มิ.ย. 67 - ในสุขมีทุกข์ ในทุกข์มีสุข 
9/29/202442 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670615pm--จะทุกข์หรือไม่อยู่ที่ใจเรา

15 มิ.ย. 67 - จะทุกข์หรือไม่อยู่ที่ใจเรา 
9/28/202425 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25670614pm--ยิ่งกดข่ม ใจยิ่งทุกข์

14 มิ.ย. 67 - ยิ่งกดข่ม ใจยิ่งทุกข์ : จะดีกว่าถ้าเกิดว่ามันมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นก็แค่รับรู้มัน อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่าให้รู้ซื่อ ๆ คืออันนี้แหละที่เคยพูดว่านักปฏิบัติเราต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ รู้ในที่นี้คือรู้แบบรู้ซื่อ ๆ รู้โดยไม่ตัดสินว่า ดีหรือชั่ว เพราะถ้าตัดสินว่ามันชั่วก็จะเผลอกดข่มมันเอาไว้ อย่างที่เกิดขึ้นกับ 2 ตัวอย่างหลัง แต่ถ้ารู้โดยที่ไม่ต้องไปตัดสินว่าดีหรือชั่ว ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ แค่รู้ซื่อ ๆ มันโกรธก็รู้ว่าโกรธ มันอิจฉาก็รู้ว่าอิจฉา มันอยากได้หรือมีจิตปฏิพัทธ์กับสามีของพี่สาวก็รู้ ทำตามมันก็ไม่ได้ เกิดข้อเสีย เกิดปัญหาตามมา แต่ถ้าไปกดข่มมันเอาไว้ก็มีปัญหา การรู้ซื่อ ๆ นี้มันช่วยได้เยอะทีเดียว   แล้วทุกวันนี้คนจำนวนมากมีความทุกข์เพราะกดข่มความคิดที่ไม่ดี ที่มันไม่ควรจะเกิดในใจของตัว อาจจะไม่ใช่โกรธ หรือว่ามีราคะ หรืออิจฉา แต่อาจจะรู้สึกไม่ดีที่มีเสียงจ้วงจาบครูบาอาจารย์ มีเสียงต่อว่าพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ หรือบางทีก็จ้วงจาบพระพุทธเจ้า พยายามกดข่มมันเอาไว้ ไม่สำเร็จสักราย แล้วก็ไม่มีความสุขด้วย จนกว่าจะยอมรับว่า มันมีความคิดแบบนี้ ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรา   พอไปคิดว่ามันเป็นเราเมื่อไหร่ เสร็จเลย มันจะรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ถ้ามองว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นเรื่องที่คิดขึ้นได้ ความคิดที่เลวร้าย หรือ ความคิดแบบอุบาทว์ มันไม่ใช่เรา ที่จริงถ้ามีสติรู้ซื่อ ๆ มันก็ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเป็นความคิดอุบาทว์ มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วก็จะผ่านเลยไป 
9/17/202426 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25670613pm--ใฝ่รู้ อย่าใฝ่เสพ

13 มิ.ย. 67 - ใฝ่รู้ อย่าใฝ่เสพ : ถ้าสร้างนิสัยใฝ่รู้จะนําไปสู่นิสัยใฝ่ธรรม ถ้าเราใฝ่รู้ ขยันรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจ ยิ่งรู้ก็ยิ่งสนุก ยิ่งเพลิดเพลิน และยิ่งเกิดฉันทะในการเพียร ในการทำ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีความฟุ้งซ่าน บางครั้งใจไม่สงบเลย แต่ถ้าใฝ่รู้แล้ว ไม่สงบก็รู้ว่าไม่สงบ ฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน นี่ถือว่าได้กําไร แต่ถ้าใฝ่เสพ ใฝ่เสพความสงบ พอฟุ้งซ่าน พอมีความคิดมาก ๆ หงุดหงิดหัวเสีย บางทีจะท้อ ไม่อยากปฏิบัติ ทำแล้วฟุ้งซ่าน ทำทีไรก็ฟุ้งซ่าน ความคิดเยอะเหลือเกิน แต่นักปฏิบัติที่ใฝ่รู้ ความฟุ้งซ่านก็ให้ความรู้กับเรา เพราะว่าดูจิตก็เห็นธรรม จิตที่ฟุ้งซ่านก็สอนธรรมให้กับเราได้เยอะแยะ เช่นเดียวกับร่างกายที่ป่วยก็สอนธรรมให้กับเราได้เหมือนกัน
9/16/202425 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670612pm--ในบวกมีลบ ในลบมีบวก

12 มิ.ย. 67 - ในบวกมีลบ ในลบมีบวก : อาจารย์พุทธทาสท่านก็บอกว่าความเจ็บป่วยมาเตือนให้ฉลาด ป่วยทุกครั้งก็ฉลาดทุกที เพราะว่าความเจ็บป่วยเขาสามารถสอนธรรมให้เราเห็นเรื่องความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งถ้าเราเข้าใจก็พ้นทุกข์ได้ ในทุกข์นี่มีหนทางแห่งความพ้นทุกข์อยู่ เหมือนกับสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟจะใช้ปิดจนห้องมืดก็ได้ หรือจะเปิดเพื่อห้องสว่างก็ได้ หรือเหมือนกับประตู ประตูมันจะขังเราก็ได้ หรือประตูมันจะเปิดสำหรับเป็นอิสระก็ได้ รูกุญแจก็เหมือนกัน รูกุญแจนี่มันสามารถจะขังเรา แต่รูกุญแจรูเดียวกันก็สามารถจะเปิดให้เราพบอิสรภาพหรือออกจากทุกข์ได้   ฉะนั้นเวลาเจอทุกข์ อย่าจมอยู่กับความรู้สึกลบ เพราะว่าในทุกข์มันก็มีทางออกจากทุกข์ แม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่ปรารถนา เช่น ความคิดฟุ้งซ่านในเวลาปฏิบัตินี่มีประโยชน์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านเทศน์ว่า มองกายเห็นจิต มองคิดเห็นธรรม คิดนี่หมายถึงความคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราดูดีๆ ก็เห็นธรรมจากความคิดฟุ้งซ่านได้ ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นโทษ ก่อความว้าวุ่นกับเรา อันนี้เรียกว่าในลบมีบวก ขณะเดียวกันเมื่อเราเจอบวก เราก็อย่าไปหลงกับมัน เพราะว่าในบวกมันก็มีลบแทรกอยู่เหมือนกัน 
9/15/202424 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25670609pm--เผชิญความป่วยไข้ด้วยใจที่ปล่อยวาง

9 มิ.ย. 67 - เผชิญความป่วยไข้ด้วยใจที่ปล่อยวาง 
9/14/20241 hour, 23 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670604pm--ทำอะไรใจไม่ลืมเป้าหมาย

4 มิ.ย. 67 - ทำอะไรใจไม่ลืมเป้าหมาย : หลายคนอยากจะทำงานให้มันได้ดี ได้เร็ว ได้สะดวก ก็ต้องมีรถ มีรถเพื่ออะไร เพื่อจะได้ทำงานได้ดี ได้สะดวก แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าทำงานเพื่อจะได้มีเงินผ่อนรถ มีเงินค่าน้ำมันรถ มีเงินค่าซ่อมรถ ดูแลรถ มันกลับกันเลยนะ แต่ก่อนนี่รถมีไว้เพื่อจะได้ทำงานสะดวก แต่ตอนหลังนี่กลับกลายเป็นว่าทำงานเพื่อจะได้มีเงินเอาไว้ผ่อนรถ สิ่งที่เคยเป็นเป้าหมาย มันกลับลดระดับกลายเป็นอุปกรณ์ไปแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอุปกรณ์ที่จะส่งเสริมเป้าหมาย มันกลับกลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วเป็นอย่างนี้กันเยอะเพราะว่าอะไร เพราะว่าเราไม่ค่อยได้ตั้งคำถาม ไม่ค่อยได้ตรวจสอบ ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใคร่ครวญว่าเราทำไปเพื่ออะไร อันนี้เรียกว่าขาดสติก็ได้ ทำไปๆ มันลืม ลืมว่าเราทำไปเพื่ออะไร หลายคนสนใจภาวนา แล้วคิดว่าจะภาวนาได้มันต้องหาที่สงบๆ อาศัยสถานที่สงบเพื่อจะเกื้อกูลต่อการภาวนา   แต่ไปๆ มาๆ ไม่ใช่อาศัยความสงบเพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริมการภาวนา กลับกลายเป็นว่าภาวนาเพื่อจะเอาความสงบ พอเจอความไม่สงบเข้าก็ไม่พอใจ รู้สึกอึดอัด คับแค้น ลืมไปว่าความสงบนี่ไม่ใช่เป้าหมายของการภาวนา เป็นสิ่งที่เสริมอำนวยให้การภาวนาก้าวหน้า   คนเราถ้าเราไม่ระวัง ไม่มีสติ สิ่งที่คิดว่าจะเป็นเป้าหมาย มันกลายเป็นเรื่องรองไปเสียแล้ว เหมือนกับที่เขาพูดว่าเรากินเพื่ออยู่ แต่ไปๆ มาๆ อยู่เพื่อกิน มันก็ไม่ต่างจากคนที่มีรถเพื่อจะได้ทำงานสะดวก แต่ไปๆ มาๆ กลับทำงานเพื่อจะได้มีเงินผ่อนรถ มีเงินค่าน้ำมันรถ ทำงานหนักเพื่อครอบครัว แต่ไปๆ มาๆ ทิ้งครอบครัวเพื่อจะได้ทำงานเยอะๆ อันนี้เพราะขาดสติ มันก็เลยเอาสิ่งที่เป็นมรรควิธีกลายเป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นเป้าหมายก็กลายเป็นเรื่องรองไปเสีย   ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร การมีสติหรือมีการใคร่ครวญ นี่สำคัญ ว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ บางทีเรามาบวชเพื่อปฏิบัติ ไปๆ มาๆ บวชเพื่อจะหาลาภสักการะ ลืมไปเลย การปฏิบัติเป็นเพียงแค่สิ่งที่เสริมภาพลักษณ์เพื่อให้มีลาภสักการะมากขึ้น แบบนี้ก็มีเยอะนะ อันนี้เป็นเพราะว่าเพลินกับความสะดวกสบาย เพลินกับความสุขที่ลาภสักการะนำมาให้ หรือไม่เช่นนั้นก็เพลินกับสิ่งที่กำลังทำ จนลืมไปว่าเราทำไปเพื่ออะไร ทำเพื่อครอบครัวหรือเปล่า หรือว่าทิ้งครอบครัวเพื่อจะได้ทำงานได้มากๆ 
9/11/202428 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670603pm--บำรุงใจเหมือนดูแลสวน

3 มิ.ย. 67 - บำรุงใจเหมือนดูแลสวน : จิตของเรา จะว่าไปก็ไม่ต่างจากสวนหรือไม่ต่างจากพื้นที่ที่สามารถจะปลูกต้นไม้นานาชนิดได้ การฝึกจิตถ้าเราคิดว่า จิตของเราบังคับบัญชาได้ สามารถจะบงการให้เป็นไปดั่งใจ ก็คงจะไม่ต่างจากการคิดแบบช่างไม้ แล้วถ้าเราทำกับจิตของเรา เหมือนกับช่างไม้ทำกับไม้ ก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะว่าจิตนี้บังคับไม่ได้ ไม่สามารถจะปรับแต่งให้เป็นไปดั่งใจได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การส่งเสริม ฝึกฝนให้จิตได้เจริญงอกงาม โดยสอดคล้องกับธรรมชาติของเขา ซึ่งใจหรือจิตเป็นอนัตตา ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ จะให้จิตเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ใจเรา จิตบังคับไม่ได้ แต่ฝึกฝนได้ อำนวยส่งเสริมเกื้อกูลให้เป็นไปในทางที่ดีงาม นี่ทำได้   ก็ไม่ต่างจากคนที่ปลูกต้นไม้ ต้นทุเรียน ต้นมะม่วง เราจะบังคับให้เป็นต้น ให้ออกดอกแบบอื่น ออกผลแบบอื่น มันทำไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถจะสนับสนุนให้เขาเติบโต ใส่ปุ๋ยหรือว่าตัดแต่งกิ่ง รวมทั้งจัดหาสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูล นี่ทำได้   เวลาเราฝึกจิต ให้เราลองมองแบบนี้บ้างว่าเหมือนกับปลูกต้นไม้ เหมือนกับทำสวน ไม่ใช่ว่าจะอยู่ในการบังคับบัญชาของเราได้ นอกจากขึ้นอยู่กับต้นไม้แต่ละชนิด แต่ละพันธุ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ มีเหตุปัจจัยมากมายที่เราต้องคำนึง ไม่ได้อยู่ที่ใจเรา 
9/10/202427 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670602pm--สิ่งชี้วัดความก้าวหน้าของการปฎิบัติ

2 มิ.ย. 67 - สิ่งชี้วัดความก้าวหน้าของการปฎิบัติ : ถ้าเราเจริญสติได้ดี แม้จะมีความหงุดหงิดขึ้นก็ยังรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้ รักษาใจให้สงบได้ เพราะอะไรเพราะมีสติเห็นมัน ไม่เข้าไปเป็นหรือไม่เข้าไปยึด ไม่ไปผลักไสมันด้วย บางคนพอเวลาไม่มีความฟุ้ง ใจก็สงบ แต่พอมีความคิดเกิดขึ้นใจ ไม่สงบก็เลยเข้าไปกดข่มมัน ก็เลยยิ่งไม่สงบเข้าไปใหญ่ ยิ่งหงุดหงิดเพราะว่ากดข่มเท่าไหร่มันก็ไม่ไป มีความโกรธ มีความหงุดหงิดเกิดขึ้นไม่ได้แปลว่าใจจะต้องว้าวุ่น เป็นทุกข์เสมอไป อยู่ที่ว่า เห็นมันไหม เห็นได้ไวพอหรือเปล่า เพราะฉะนั้นความก้าวหน้าของการปฏิบัติจะต้องวัดตรงนี้ด้วย วัดว่าสงบได้ไม่ใช่เฉพาะเวลาปฏิบัติ แต่ว่าสงบได้แม้มีสิ่งกระทบ มีสิ่งเร้า ถ้าหากว่าสงบได้เมื่อไม่มีสิ่งเร้า ไม่มีสิ่งกระทบ อันนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก นักปฏิบัติต้องทำได้มากกว่านั้นคือว่าแม้เจอสิ่งเร้า เจอสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือความคิดอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าธรรมารมณ์ ใจก็สงบได้ ตรงนี้แหละคือสิ่งที่วัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ ซึ่งแน่นอนถ้าเกิดว่าเข้าใจเรื่องหรือเห็นเรื่องรูป เรื่องนาม เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรา เป็นของเราก็ช่วยทำให้ใจสงบได้ง่าย ไม่ใช่สงบด้วยสติอย่างเดียว แต่สงบด้วยปัญญาด้วย 
9/9/202427 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670601pm--สอนคนอื่น อย่าลืมดูใจตนเอง

1 มิ.ย. 67 - สอนคนอื่น อย่าลืมดูใจตนเอง : ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ฉะนั้นหมั่นเตือนตนอยู่เสมอ ทำอะไรก็ตามมันไม่สำคัญเท่ากับว่าทำอย่างไร แม้จะทำเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ เรื่องบุญกุศล แต่ว่าถ้าขาดสติหรือทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็สามารถจะเกิดโทษได้ เตือนใจเสมอเวลาเจอความไม่ถูกต้อง อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ รักษาใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นเพื่อให้เขาทำถูกต้อง ถ้าขืนไปจัดการคนอื่นโดยที่ไม่ทันดูใจของตัว ไม่ทันรักษาใจของตัวให้ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำกับคนอื่นก็จะกลายเป็นความไม่ถูกต้องหนักกว่าเดิมก็ได้   เรื่องนี้มันเป็นอุทธรณ์สอนใจที่ดีโดยเฉพาะกับคนที่สนใจธรรมะ นักปฏิบัติธรรม จะได้ไม่หลงตัวลืมตน ว่ามาปฏิบัติธรรมว่ามาแสดงธรรม แล้วก็ลืมมองตัวเองไป 
9/8/202425 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25670531pm--ใฝ่ทำดีกว่าใฝ่เสพ

31 พ.ค. 67 - ใฝ่ทำดีกว่าใฝ่เสพ : คนเราถ้าเป็นคนที่ใฝ่รู้ แค่ได้ความรู้เขาก็พอใจแล้ว คะแนนจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ หรือไม่ใช่เรื่องสำคัญ และกรณีนี้พอโตขึ้นแล้วเขาจะมีความสุขจากการที่ได้ทำความดี ซื่อสัตย์สุจริต ภูมิใจในความดีที่ทำ เรื่องเงินเรื่องทองจะเป็นเรื่องเล็กน้อย คนเราถ้าเอาความสุขไปผูกกับเงิน ไปผูกกับชื่อเสียง จะหาความสุขไม่ได้เลย อย่างที่เราเห็น ดาราที่มีชื่อเสียงร่ำรวยหลายคน ฆ่าตัวตายเพราะว่าถูกต่อว่า ถูกสื่อมวลชนวิจารณ์ว่าเล่นไม่ได้เรื่อง หรือว่าเป็นเพราะอกหัก แฟนทิ้ง อันนี้เพราะว่าไม่เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ไปเอาความสุขของตัวไปอยู่ผูกติดอยู่กับสิ่งของ อยู่กับชื่อเสียง อยู่กับเงินทอง หรือแม้แต่อยู่กับคนอื่น เอาความสุขหรือคุณค่าไปผูกติดกับคนอื่น พอเขาก็ทิ้งเรารู้สึกหมดคุณค่าทันที แต่ถ้าหากว่าคนเราพบว่าความสุขอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำความดี อยู่ที่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ความสุขที่ผูกติดอยู่กับความดีในตัวไม่มีสูญหายไปง่าย ๆ ใครเขาจะทิ้ง ใครเขาจะดูถูกอย่างไร ตัวเองก็ยังมีความสุขความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แม้จะไม่รวยแต่ก็มีความสุข   นี่แหละคือสิ่งที่ศาสนาจะสอนเราได้ จะนำทางให้เราพบความสุขอย่างนี้ แล้วก็การมาวัดก็สามารถช่วยทำให้เราได้พบกับความจริงข้อนี้ได้ วันนี้นักเรียนอาจจะยังไม่เห็น เพราะยังคิดว่าความสุขอยู่ที่การกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป มีแฟน แต่ให้จำในสิ่งที่หลวงพ่อพูดเอาไว้วันนี้ พอถึงวันที่พวกเธอโตมากกว่านี้และในยามที่เจอกับความไม่สมหวังในชีวิต เจอกับความพลัดพราก อาจจะได้คิด แล้วถึงตอนนั้นก็อาจจะรู้วิธีที่จะหาทางออกจากความทุกข์ได้
9/7/202428 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25670528pm--อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้

28 พ.ค. 67 - อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ 
9/6/202451 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670527pm--เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์

27 พ.ค. 67 - เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ 
9/5/20241 hour, 17 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25670526pm--สร้างสมดุลชีวิตด้วยสติ

26 พ.ค. 67 - สร้างสมดุลชีวิตด้วยสติ 
9/4/20241 hour, 10 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25670524pm--โกรธก็ได้ ใจไม่ทุกข์

24 พ.ค. 67 - โกรธก็ได้ ใจไม่ทุกข์ : แต่ยิ่งเราไม่ยอมรับ ยิ่งเราผลักไสมัน มันก็ยิ่งมีอำนาจเหนือจิตใจของเรา วิธีที่จะทำให้มันหมดพิษสงก็คือยอมรับมัน หรือว่าถ้าพูดแบบภาษาธรรมะก็คือว่าแค่เห็นมันเฉย ๆ รู้ซื่อ ๆ หรือยอมรับมันได้ มันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือว่าไม่ผลักไส ไม่ต่อต้าน ไม่กดข่ม แล้วถ้าเราใช้ท่าทีนี้กับสิ่งอื่นด้วย ไม่ใช่เฉพาะกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเซ็ง ความเบื่อ แต่ยังใช้กับเสียงที่มากระทบหู หรือภาพที่กระทบตา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา หรือแม้กระทั่งความเจ็บปวดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ถ้าเรายอมรับได้ ใจไม่ผลักไสอยู่ลึก ๆ อันนี้ท่านเรียกว่า “เห็น ไม่เข้าไปเป็น” อำนาจที่มันมีต่อจิตใจของเราทำให้ทุกข์ใจก็น้อยลง จะเหลืออยู่ก็แค่ความทุกข์กาย แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว ความซังกะตายก็เหมือนกัน จริง ๆ มันก็ไม่ได้ทำร้ายใจเราเท่าไหร่ แต่ที่มันทำร้ายจิตใจผู้หญิงคนนั้นมากคือเพราะไม่ยอมรับ ความซังกะตายไม่ได้ทำร้ายเรา แต่การที่เราไม่ยอมรับความซังกะตาย ความรู้สึกเฉาต่างหากที่ทำร้ายเรา เหมือนกับนอนไม่หลับ นอนไม่หลับนี้ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเรา แต่ที่ทุกข์กันมากก็เพราะว่าไม่ยอมรับ เวลานอนไม่หลับก็เกิดความวิตกกังวล พยายามข่มตาให้หลับ ความกลัวว่าจะไม่หลับ หรือความอยากให้หลับ แล้วพอไม่หลับก็เลยวิตกกังวล ตัวนี้ต่างหากที่สร้างปัญหา   พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเรามากเท่ากับปฏิกิริยาหรือท่าทีที่เรามีต่อสิ่งนั้น ถ้าเราแค่ดู เห็น รู้ซื่อ ๆ หรือเป็นมิตรกับมัน มันก็หมดพิษสงลง อันนี้คือสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้หรือทดลองดูได้ ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันของเรา 
9/3/202427 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670523pm--ฟังธรรมอย่างไรใจเปลี่ยนแปลง

23 พ.ค. 67 - ฟังธรรมอย่างไรใจเปลี่ยนแปลง : การตั้งคำถามกับตัวเองเวลาฟังธรรมนี้ ช่วยให้เกิดการปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นฟังแล้วก็ไม่เกิดการปฏิบัติ หรืออย่างน้อยก็เกิดปัญญา รู้จักใคร่ครวญ แล้วทำให้เกิดความเฉลียวใจ แล้วส่วนใหญ่ฟังก็ไม่ค่อยได้ถามตัวเองว่าจริงไหม ที่ท่านพูดจริงไหม แล้วการใคร่ครวญก็ไม่ใช่แค่ใช้เหตุใช้ผลอย่างเดียว แต่ว่าเอาประสบการณ์ตัวเองมาเทียบหรือตอบโดยอาศัยประสบการณ์ตัวเอง จริงไหม แล้วเวลาท่านพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก เราก็ต้องถามตัวเองว่า “เออ เราเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า” “เราเป็นอย่างที่ท่านว่ามาไหม” แล้วเวลาท่านแนะนำทางออกหรือข้อที่ควรปฏิบัติ ก็ควรจะถามตัวเองด้วยว่า “แล้วเราได้ทำอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า” หรือคิดจะไปทำบ้างไหม   ฉะนั้นถ้าเราไม่ถามตัวเองอย่างน้อย 3 คำถาม การฟังธรรมก็ไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง แล้วนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากทีเดียว การฟังธรรมก็เป็นเพียงแค่การทำให้ใจเพลิน ฟังแล้วเพลินดี ก็คงไม่ต่างจากวัยรุ่นฟังเพลง แต่ว่าคนแก่หรือว่า สว. ก็ฟังธรรม เหมือนกันตรงที่ว่าฟังแล้วเพลิน แต่ว่าไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาอย่างจริงจัง
9/2/202424 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25670522pm--ประโยชน์ที่ควรได้จากการเป็นชาวพุทธ

22 พ.ค. 67 - ประโยชน์ที่ควรได้จากการเป็นชาวพุทธ : แต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน ความทุกข์บางอย่างก็ยังสามารถมาถึงตัวเราได้ เช่นความแก่ ความป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย รวมทั้งความตาย ไม่ต้องพูดถึงคำต่อว่าด่าทอ หรือว่าความล้มเหลว ความไม่สมหวัง สิ่งเหล่านี้แม้เราจะเจอ แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเรามีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบ หรือดียิ่งกว่านั้นคือรู้ทันการปรุงแต่ง จนกระทั่งไม่ว่าเห็น ไม่ว่าได้ยิน ก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน หรือแม้มีอารมณ์เกิดขึ้นก็แค่รู้ซื่อๆ ใจก็ไม่ทุกข์ นี่เป็นโอกาสแห่งการพ้นทุกข์ที่เราทุกคนสามารถทำได้ แล้วเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาว่าพระองค์ทรงค้นพบอะไร และอะไรทำให้พระองค์ทรงออกจากทุกข์ได้ และที่พระองค์ชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเรา ก็คือชี้เรื่องนี้แหละ   ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใคร่ครวญและนำไปปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าเราได้ประโยชน์จากการเป็นชาวพุทธ เราได้ประโยชน์จากการที่มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของเรา รวมทั้งได้ประโยชน์สูงสุดจากศาสนาที่เรานับถือ ไม่อย่างนั้นเราก็ได้ประโยชน์อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สุดท้ายเราก็ไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ 
9/1/202437 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670521pm--อยู่กับความรู้สึกตัวให้เป็น

21 พ.ค. 67 - อยู่กับความรู้สึกตัวให้เป็น : ความรู้สึกตัว ถ้าเราอยู่กับมัน หรือถ้าเรากลับมารู้สึกตัวบ่อย ๆ การอยู่กับตัวเองเป็นเรื่องง่าย อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้ว้าวุ่น หงุดหงิด อยู่กับตัวเองคนเดียวก็ไม่ได้เหงาอะไร แล้วถึงเวลาที่เราต้องอยู่กับตัวเองจริง ๆ หรือถึงเวลาที่เราต้องอยู่คนเดียว เพราะว่าคนที่คุ้นเคยล้มหายตายจากไป หรือว่าต้องไปนอนอยู่คนเดียวในโรงพยาบาล ก็อยู่ได้ หรือถึงแม้อยู่บ้าน ไม่มีคู่ครอง ก็ไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องมีใครมาอยู่ใกล้ ๆ เพราะทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ อาการแบบนี้มันก็ไม่มี อยู่กับตัวเองหรืออยู่คนเดียว ไม่ใช่ไม่เหงา ไม่เบื่อ แต่ว่าความเหงาความเบื่อทำอะไรไม่ได้เพราะว่ารู้สึกตัว ยอมรับมัน ไม่ผลักไสมัน อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าการผลักไส การกดข่ม การไม่ยอมรับอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ มันก็เป็นตัวการสร้างปัญหา   อย่างการปฏิบัติที่นี่ เราไม่เน้นเรื่องการไปกดข่มความคิด ไปผลักไสอารมณ์ อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นก็ยอมรับมัน อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเรามีวิชา วิชาอะไร วิชารู้ซื่อ ๆ เห็นมัน เห็นมัน เมื่อรู้แล้วว่ามันมีอยู่ ก็แค่รู้ซื่อ ๆ ไม่ผลักไส ก็ทำให้ไม่เข้าไปเป็น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตัวได้   การปฏิบัติ ถ้าเราอยู่กับตัวเองเป็น มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเหงา ไม่มีความเบื่อ ไม่มีความเซ็ง มันมีแต่ว่าอยู่กับมันได้ เป็นมิตรกับมันได้ คนเราถ้าอยู่กับตัวเองเป็นคืออยู่กับความรู้สึกตัวแล้วนี้ มันก็อยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ โดยที่ไม่ถูกมันเบียดเบียน ครอบงำ ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมณ์เหล่านี้ มีแต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ อยู่กับความรู้สึกตัวเป็น ก็อยู่กับตัวเองได้ อยู่กับความเหงา อยู่กับความเบื่อ ก็อยู่ได้ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
8/31/202427 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25670519pm--ธรรมนำชีวิตให้ผาสุก

19 พ.ค. 67 - ธรรมนำชีวิตให้ผาสุก : ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นเป็นเรา เป็นของเราได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือแม้กระทั่งร่างกายนี้ ก็ไม่อาจยึดได้ว่าเป็นเรา เป็นของเราได้ ความที่ท่านเข้าใจ หรือเข้าถึงสัจธรรมความจริงนี้แหละ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ท่านเปี่ยมด้วยคุณธรรมมากมายหลายประการ ที่เราทุกท่านเมื่อได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกประทับใจ​ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราระลึกนึกถึงท่านแม่ชีสุขี ก็อย่าพึงนึกถึงแต่เพียงแค่บุญที่ท่านบำเพ็ญ แต่ให้นึกถึงธรรมที่ท่านได้ปฏิบัติด้วย ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงบุญ จนบางทีลืมธรรมะไป เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้บุญเยอะๆ เราก็จะได้โชคได้ลาภ มีอายุยืน มีสุขภาพดี เพราะเราเชื่อว่า บุญนั้นย่อมอำนวยให้เกิดอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งปฏิภาณธนสารสมบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา จึงอยากได้บุญกันมากๆ จนกระทั่งจำนวนไม่น้อย ลืมธรรมะไป
8/25/202450 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670518pm--เมืองร่มรื่น ใจร่มเย็น เป็นรมณีย์

18 พ.ค. 67 - เมืองร่มรื่น ใจร่มเย็น เป็นรมณีย์ : ใจรมณีย์คืออะไร ใจรมณีย์ คือ ใจที่ร่มเย็น สงบเย็นได้ด้วยธรรม เราเย็นกายด้วยร่มไม้ และเราสามารถจะเย็นใจได้ด้วยร่มธรรม ร่มไม้สามารถจะปลุกกระตุ้นให้ร่มธรรมในใจของเราเจริญงอกงามได้ แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดว่าเราอาศัยความร่มรื่นของต้นไม้มาใช้ในการฝึกจิต เพื่อทำให้ร่มธรรมในจิตใจของเราเจริญงอกงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ใจที่เป็นรมณีย์ ไม่ใช่แค่ถิ่นรมณีย์ที่ภายนอก ใจรมณีย์ ไม่ใช่หมายถึงใจที่สงบเย็นเพราะร่มธรรมเท่านั้น แต่ยังอาศัยธรรมะช่วยเปลี่ยนทุกข์ให้การเป็นสุขได้ เหมือนกับต้นไม้สามารถเปลี่ยนแสงแดดที่ร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ต้นไม้สามารถเปลี่ยนสิ่งปฏิกูล ขยะ ให้กลายเป็นใบไม้ที่เขียวขจี ดอกไม้ที่สวย ผลไม้ที่หอมหวาน   ใจของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าใจของเราเป็นรมณีย์ ก็เพราะสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ได้ เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา ก็เกิดขึ้นได้ ใจที่เป็นรมณีย์ คือใจที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้รับ แต่ยังเป็นผู้ให้ เหมือนต้นไม้ที่ไม่เพียงแต่รับเอาปุ๋ยจากดิน แต่ยังทิ้งกิ่ง ทิ้งใบ เพื่อเป็นปุ๋ยกลับคืนสู่ดิน เป็นการตอบแทนผืนดินที่ช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ไม่เพียงแต่รับเอาน้ำจากฟ้ามาบํารุงกิ่งก้านและใบ แต่ยังคายน้ำคืนสู่ธรรมชาติ คืนสู่ฟ้า เป็นการตอบแทน 
8/24/202434 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25670516pm--ธรรมสั้นๆที่ปฎิบัติได้แม้ไม่มีเวลา

16 พ.ค. 67 - ธรรมสั้นๆที่ปฎิบัติได้แม้ไม่มีเวลา : คนที่บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม แต่ที่จริงแล้ว สามารถจะมีสติในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องใช้เวลาอะไรเลย ไม่ต้องสละเวลาเพิ่มเติม เพราะทุกวันนี้ ก็รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่แล้ว ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เพียงแต่เติมสติลงไป การกินก็เหมือนกัน เรากินอยู่แล้ว ฆราวาสก็ 3 มื้อ ก็เติมสติลงไปในการบริโภค ทำงานก็ทำอยู่แล้ว ก็เติมสติลงไปในการทำงาน อปัณณกปฏิปทานี้ จะว่าไปแล้ว มันเป็นธรรมที่สำคัญ ที่ถูกมองข้ามไป เพราะว่าสามารถจะเอามาใช้ในการดำเนินชีวิตได้ แล้วก็เป็นการปฏิบัติที่ไม่มีคำว่าผิด อปัณณก แปลว่าไม่ผิดอยู่แล้ว เป็นทางสายกลาง เป็นการปฏิบัติธรรม ที่สามารถจะทำได้ ในชีวิตประจำวัน มันไม่ต้องการเวลาเพิ่มเติม เพราะว่าทำอยู่แล้ว   ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางทวารทั้ง 6 ไม่ว่าจะเป็นการกิน หรือว่าการทำงาน เพียงแต่เติมสติลงไป ให้เป็นอินทรียสังวร ให้เป็นโภชเน มัตตัญญุตา ให้เป็นชาคริยานุโยค แล้วมันก็ช่วยทำให้ไม่เพียงแต่การงานดำเนินด้วยดี แต่ยังช่วยทำให้ความทุกข์บรรเทาเบาบาง และเป็นกำลังในการสนับสนุนให้เกิดการเห็นธรรมที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ 
8/23/202422 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670515pm--สอนอะไร ควรทำสิ่งนั้นให้ได้

15 พ.ค. 67 - สอนอะไร ควรทำสิ่งนั้นให้ได้ : เวลาเราจะแนะนำใคร ไม่ว่าเรื่องอะไร ออกกำลังกาย กินอาหารสุขภาพ หรือว่าใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยลง เล่นเกมให้น้อยลง รวมทั้งการนั่งสมาธิ เจริญสติ มันต้องกลับมามองที่ตัวเองก่อนนะว่า “ทำได้หรือยัง” หรือ “ได้ลองทำบ้างหรือเปล่า” เชื่อจริง ๆ หรือเปล่าอย่างที่พูดว่ามันมีคุณค่าจริง ๆ หรือไปฟังเขามาแต่ไม่ได้เชื่อจริง เพราะถ้าเชื่อจริงก็ต้องทำด้วยตัวเองแล้ว แต่พอไม่ได้เชื่อจริงก็เลยไม่ได้ทำ แต่อยากให้คนอื่นทำ เสร็จแล้วคนอื่นเขาก็รู้นะว่าคนพูด คนแนะนำนี้ก็ไม่ได้เชื่อจริง พูดอย่างทำอย่าง เขาก็ไม่ฟัง   แต่ถ้าเกิดว่าเราจริงจังหรือจริงใจในสิ่งที่พูด ในสิ่งที่แนะนำ เราต้องทำให้ได้ก่อน หรือพยายามทำแล้วเราถึงจะแนะนำคนอื่นได้เต็มปาก เราปล่อยวางได้แล้วไม่มากก็น้อย เราถึงแนะนำให้คนอื่นปล่อยวางบ้าง หรือว่าเราได้ทำสมาธิเจริญสติมาพอสมควร แล้วก็รู้รสชาติ รู้ความยากลำบากของมันว่ามันเป็นอย่างไร เราถึงจะแนะนำเขาได้ ไม่งั้นมันก็จะเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมาย หรือกลายเป็นการกระทำแบบนกแก้วนกขุนทองแบบที่เด็กคนนั้นพูด 
8/22/202424 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25670508pm--ทางออกจากทุกข์ อยู่ที่ใจเรา

8 พ.ค. 67 - ทางออกจากทุกข์ อยู่ที่ใจเรา : ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับสายตาเหยียดหยามของคนทั้งโลก แต่จู่ๆ แกก็ได้คิด ว่าเราเปลี่ยนความคิดของใครไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดของเราเองได้ แทนที่เราจะไปเรียกร้องให้คนอื่นเขามองเรา ชื่นชมเรา เราก็หันมาเข้าใจเขาแทนว่าทำไมเขามองเราแบบนี้ ปรากฏว่าแกหายทุกข์เลย แทนที่จะไปเรียกร้องใครให้เป็นไปดั่งใจ ก็กลับมาปรับใจตัวเอง อันนี้คือวิถีหรือวิสัยของนักปฏิบัติธรรม เราอย่าคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเรา เราอย่าไปคาดหวังว่าทุกอย่างรอบตัวต้องสงบ ต้องเรียบร้อย ถูกต้อง ถูกระเบียบ เราถึงจะมีความสุขหรือจะมีความสงบได้ อย่าไปเรียกร้องความสงบจากโลกภายนอก เพราะว่าแม้แต่วัดนี้ก็ยังมีเสียงรบกวน เสียงประทัด เสียงดังอยู่เรื่อยๆ แต่ถึงแม้โลกรอบตัวจะดังอย่างไร แต่ใจเราสงบได้ เพราะเรารู้จักฝึกใจ แม้โลกมันจะแปรปรวนอย่างไร แต่ใจเราสงบเย็นได้ หากว่าเรามาฝึกที่ใจ   เวลาเราเจออะไรต่ออะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เจอความไม่ราบรื่น ไม่ปกติ เจอเสียงดัง เจอคนทำตัวน่าระอา แทนที่เราจะปล่อยใจให้ทุกข์ ก็กลับมาฝึกว่าเราจะรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้อย่างไร เป็นเพราะเราวางใจผิดหรือเปล่า เราจึงทุกข์ เราจึงโมโห เราจึงหงุดหงิด เป็นเพราะเราคาดหวังจากคนอื่นหรือเปล่า แต่พอเรามาปรับที่ใจของเรา เรายังสามารถพบความสงบได้ ตัวอย่างของคนที่พูดมานี่เขาไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรมเลยนะ แต่ว่าเขาพบว่าเขาออกจากทุกข์ได้ เพราะว่าเขาปรับที่ใจ แก้ที่ใจ ลดความคาดหวัง หรือแก้ที่ใจของตัว   ฉะนั้นเวลาเราเจอปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ให้ถือว่ามันเป็นแบบฝึกหัด ให้เรากลับมาดูใจของเรา แล้วก็ลองปรับ ลองแก้ที่ใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักไม่ใส่ใจ ไม่ไปผลักไสสิ่งต่างๆ หรือว่าไม่คาดหวังว่ามันจะต้องเป็นไปดั่งใจ แล้วเราก็จะพบว่ากุญแจออกจากทุกข์ มันอยู่ที่ใจเรานั่นเอง 
8/21/202426 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670507pm--หาประโยชน์จากความวิตกกังวล

7 พ.ค. 67 - หาประโยชน์จากความวิตกกังวล : เมื่อใดก็ตามที่เรามีความกลัวก็ดี ความวิตกกังวลก็ดี ความโกรธก็ดี อย่าไปมองว่ามันเป็นอารมณ์ที่แย่อย่างเดียว มันมีประโยชน์ มันสามารถจะบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะเลย เป็นการชี้ช่องให้เราเห็นว่า เรายังมียึดติดถือมั่นที่ตรงไหน และถ้าเราใส่ใจการปฎิบัติธรรม เราก็จะพยายามลดละตรงนั้นให้มันเบาบางลง แม้ว่าจะลดละไม่ได้ทั้งหมด และสิ่งที่ได้คืออะไร คือความอิสระ ความเบา ฉะนั้น ถ้าเราไม่มีความยึดติดถือมั่นในหน้าตา ใครเขาจะต่อว่านินทาเรา เราก็ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร หรือว่าถ้าเราไม่ยึดติดในทรัพย์ หรือยึดแต่น้อย เราก็ไม่ห่วงว่าเศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าถึงอย่างไรเราก็อยู่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยมาก ดังนั้น เราต้องรู้จักใช้ความวิตกกังวลให้เป็นประโยชน์ เอามาเป็นเครื่องสอนบ่งบอกว่าเรายังสอบตกในเรื่องอะไร และเราจะฝึกตนพัฒนาตนในเรื่องไหนได้บ้าง 
8/20/202424 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670506pm--ผู้รู้จักคอยย่อมมีความสำเร็จเป็นรางวัล

6 พ.ค. 67 - ผู้รู้จักคอยย่อมมีความสำเร็จเป็นรางวัล : การรู้จักอดทนรอคอยนี่สำคัญมาก คือหมายความว่ายอมลำบาก ยอมเหนื่อยวันนี้ เพราะเชื่อว่าผลพวงข้างหน้า มันก็คือความสำเร็จ ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะกับคนที่รู้จักคอยเท่านั้น ถ้าไม่รู้จักคอยแล้วมันก็ได้แค่ความสุขชั่วครู่ชั่วยาม เพราะฉะนั้นฝึกเอาไว้ สะสมนิสัยให้รู้จักอดทนรอคอย ซึ่งมันไม่ใช่แค่ขันติอย่างเดียว มันต้องมีสติด้วย เพราะถ้าไม่มีสติมันก็จะพ่ายแพ้ต่อกิเลส ต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน ต่อนิวรณ์ 5 ไม่ว่าจะเป็น กามฉันทะ พยาบาท อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน หรือว่าในความง่วงเหงาหาวนอน รวมทั้งความลังเลสงสัยวิจิกิจฉา เราจะฝ่าทะลุนิวรณ์ 5 หรืออุปสรรคของการปฏิบัติ มันต้องมีความรู้จักอดทนรอคอย โดยมีสติเป็นตัวนำ แล้ววิริยะเป็นตัวผลัก มันถึงจะประสบความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ 
8/19/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670505pm--เป็นมิตรกับความเบื่อ

5 พ.ค. 67 - เป็นมิตรกับความเบื่อ : แต่ในเมื่อเราเจริญสติ เรามาฝึกจิตกันแล้ว ก็ต้องมีความสามารถมากกว่าคนทั่วไป ในการที่จะรู้ทันความเบื่อ หรือไม่ปล่อยให้ความเบื่อครอบงำ ในแง่หนึ่ง เราก็เหมือนคนทั่วไป เราก็มีความเบื่อ มีความเศร้า มีความโกรธ ไม่ต่างจากคนอื่น แต่ที่เราต่างจากคนอื่นก็คือว่า เรามีความสามารถในการรักษาใจไม่ให้อารมณ์พวกนี้มาครอบงำได้ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้ว จะไม่มีความเบื่อ ไม่มีความเหงา ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความคับข้องใจ ไม่มีราคะ ไม่ใช่ มันมีเหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ แต่มีแล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ สามารถจะยกจิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ หรือวางใจเป็นกลางกับสิ่งเหล่านี้​ เบื่อก็รู้ว่าเบื่อ และวางใจเป็นกลางกับมันได้ หรือยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เป็นมิตรกับมัน เป็นมิตรกับความเบื่อ   อันนี้มันเป็นการบ้าน สำหรับนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ไม่ใช่เฉพาะผู้ฝึกใหม่ แม้กระทั่งผู้ที่ฝึกมานาน มันก็หนีพวกนี้ไม่พ้น อารมณ์พวกนี้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร ซึ่งที่สำคัญก็คือการมีสติ เห็นมัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ได้ หรือว่าเป็นมิตรกับมันเสียเลย โอบกอดความเบื่อ   เหมือนกับที่ท่านติช นัท ฮันห์ สอนไว้ โอบกอดความโกรธ โอบกอดความทุกข์ พอเราเป็นมิตรกับมัน ไม่ผลักไสมัน มันก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ แล้วจะว่าไป มันก็ทำให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้า และทำให้เราสามารถจะปฏิบัติได้ต่อเนื่อง แล้วก็เกิดความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น 
8/18/202426 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670504pm--ดูแลใจให้เป็นอิสระจากอารมณ์

4 พ.ค. 67 - ดูแลใจให้เป็นอิสระจากอารมณ์ : แม้ว่าจะมีสิ่งต่างๆ ที่ไม่น่าพอใจมากระทบ เสียงต่อว่ามากระทบหู แต่ว่าเราไม่ใส่ใจ มันก็ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความหงุดหงิด หรือเรารู้จักปรุงแต่งในทางบวก เราก็ไม่โกรธ หรือเรารู้ทัน ว่าเราชอบมีความรู้สึกลบต่อสิ่งนี้ เช่น เขาเรียกเราว่าลุง ว่าป้า เราก็รู้นะ ว่าเป็นเพราะเราไม่ชอบความแก่ ใครมาเรียกลุงเรียกป้า เราก็เลยโกรธ แต่พอเรารู้ทันความคิดปรุงแต่งนี้ ก็วางใจเป็นกลางได้ ใครเขาเรียกลุงเรียกป้าก็ไม่โกรธ ก็ไม่ทุกข์แล้ว ฉะนั้นใครเขาจะพูดอย่างไร เราไม่ทุกข์ เพราะว่าเรารู้ทันความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจ หรือถึงเกิดความโกรธขึ้นมา เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เราก็รู้ทันอารมณ์นั้น ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ ก็ไม่ทุกข์เหมือนกัน 
8/17/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670503pm--ทักท้วงความกลัว

3 พ.ค. 67 - ทักท้วงความกลัว : เพราะไม่เห็นคุณค่าของปัจจุบันเพราะก็ไปหวังความสุขจากอนาคต เพราะไปวาดภาพสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ถ้าเกิดว่าสมหวังจริง ๆ ก็ไม่ได้สุขอย่างที่คิดเท่าไหร่ ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันนี่มันจะทำให้เรานี่ไม่ไปหลงเพลินกับภาพฝันในอนาคต แล้วก็ทำให้เราไม่กลัวไม่วิตกมากกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า คนเดี๋ยวนี้เครียดมาก วิตกกังวลมาก จนจะประสาทไปเพราะความที่ปรุงแต่ง วาดภาพอนาคตในทางลบทางร้าย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือว่าอยู่ในสถานะใดก็ตาม แม้กระทั่งเป็นคนไข้ไปให้หมอตรวจ ยังไม่ทันรู้ผลเลยใจก็ห่อเหี่ยวเสียแล้ว เพราะไปวาดภาพว่า ผลมันคงจะออกมาในทางที่เลวร้าย หรือถ้าเป็นอย่างที่หมอว่า เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ฉันคงตายแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือถึงเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่เป็นว่าคนเราไปเชื่อความคิด ไปปล่อยให้ความวิตกกังวลที่ชอบปรุงแต่งขยายความให้เกินจริง มันก็เลยไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน   ใจเรามันมีความสามารถในการขยายผลทั้งในทางบวกทางลบได้มาก แล้วถ้าเราเชื่อมัน ไม่รู้จักทักท้วง ไม่ว่าทางบวกหรือทางลบนี่เราก็อาจจะเสียผู้เสียคน หรือว่าเป็นทุกข์ได้ ฉะนั้นกลับมาอยู่กับปัจจุบัน พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ แล้วก็เห็นความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ อย่าไปหลงเชื่อกับภาพฝันในอนาคตมาก หรือไปวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหนึ่งมันก็ไม่ได้สวยอย่างที่คาดแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นึก 
8/16/202424 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25670502pm--อย่าเชื่อความคิดไปเสียหมด

2 พ.ค. 67 - อย่าเชื่อความคิดไปเสียหมด 
8/15/202425 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670501pm--ปัญญาก่อนถึงสมาธิ

1 พ.ค. 67 - ปัญญาก่อนถึงสมาธิ : ความคิดอารมณ์เกิดขึ้น เรายังไม่ทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติกับมันอย่างไร ถ้าปฏิบัติถูกก็ไม่ทุกข์ ถ้าปฏิบัติผิดก็ทุกข์เลย นี่ก็คือความรู้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการปัญญา จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่ามีสมาธิก่อนแล้วจึงจะเกิดปัญญา ก่อนที่จะถึงสมาธิ ก่อนที่จะถึงความสงบ ปัญญาก็เกิดขึ้นได้ แต่มันเป็นปัญญาในระดับย่อย ยังไม่ใช่เป็นปัญญาชนิดที่จะรื้อถอนความทุกข์ได้ แต่ก็เป็นปัญญาที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐาน เป็นเหมือนกับอิฐก้อนแรก ๆ ที่เป็นฐานให้กับปัญญาที่สำคัญในระดับที่เรียกว่าวิปัสสนา อันนี้คือสิ่งที่นักปฏิบัติต้องช่างสังเกต อย่าไปมองแต่เป้าหมายข้างหน้าคือ ความสงบ ระหว่างทางมีอะไรให้เราได้เรียนรู้เยอะแยะเลย เหมือนกับคนที่เป็นนักเดินทาง เขาจะไม่มุ่งจดจ่อที่จุดหมายปลายทาง แต่เขาจะสนใจเส้นทางหรือระหว่างทางด้วย ทัศนียภาพระหว่างสองข้างทางมีอะไรให้เรียนรู้ มีอะไรให้ชื่นชมเยอะ   ไม่ใช่ว่าจะต้องไปถึงจุดหมายแล้วถึงจะได้พบกับสิ่งดี ๆ สองข้างทางหรือสิ่งที่เป็นปัจจุบัน มันก็มีอะไรให้เราได้เรียนรู้มากมาย อันนั้นแหละคือปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่มันจะมีคุณค่าต่อการปฏิบัติและต่อชีวิตของเรา 
8/14/202424 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670429am--คุณค่าของสังฆทานและการพิจารณาผ้าบังสุกุล

29 เม.ย. 67 - คุณค่าของสังฆทานและการพิจารณาผ้าบังสุกุล : เมื่อเราให้ทาน อานิสงส์ประการหนึ่งก็คือ ช่วยลดความตระหนี่ อันนี้คืออานิสงส์ที่คนไม่ค่อยได้นึกถึง ไปนึกถึงเรื่องโชค เรื่องลาภ ยศ ทรัพย์ สรรเสริญ แต่ว่าลืมนึกว่าหรือไม่ตระหนักว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยลดความตระหนี่ ลดความตระหนี่ก็คือ ลดความยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นของเรา ลดความโลภที่อยากได้สิ่งนั้นเยอะ ๆ มาก ๆ ถ้าเราให้ทานเป็น ความตระหนี่ก็จะลดลง ความโลภก็จะบรรเทาลง ความยึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นว่าเป็นของเราหรือตัวเราก็จะน้อยลง และต่อไปถ้าเราวางใจให้ดี มันจะช่วยลดความยึดมั่นในตัวกู ลดในสิ่งที่ทางพระเรียกว่ามานะคือกิเลสได้ เพราะบ่อยครั้งเราทำบุญ ทำความดี เราก็อยากจะให้คนชื่นชมสรรเสริญ ความชื่นชมสรรเสริญมีความหมายต่อเราเพราะมันไปตอบสนองตัวกู เราอยากจะให้คนเห็นว่าเราเป็นคนใจบุญ เป็นคนดี ตรงนี้คือกับดักของคนที่ชอบทำบุญ ชอบทำความดี คืออยากเป็นคนดี อยากให้คนยกย่องสรรเสริญ   หลายคนเป็นทุกข์เพราะทำดีแล้วไม่มีคนเห็น ดังนั้นเวลาทำบุญก็อยากจะให้คนเห็น เขาจะได้ชื่นชมสรรเสริญ แล้วเดี๋ยวนี้มันมีช่องทางในการที่จะสนองอัตตาหรือตัวมานะ มีเยอะมาก เช่น ถวายทาน เป็นเจ้าภาพกฐิน เป็นเจ้าภาพผ้าป่า ก็อยากประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันมาทำบุญนะ ประกาศอย่างไร ก็ถ่ายภาพขึ้น Facebook บางทีถวายเงินไปแล้ว เพื่อนที่นัดแนะไว้ให้ถ่ายภาพ ลืมถ่ายภาพ โมโหเพื่อน หรือบางทีลืมเอากล้องมา โมโหอีก โมโหตัวเอง เดี๋ยวนี้ทำอะไรต้องถ่ายเพื่อประกาศให้โลกรู้ รวมทั้งทำบุญ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน 
8/13/202424 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670426pm--มรณสติกถา

26 เม.ย. 67 - มรณสติกถา
8/12/202446 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25670425am--วางแผนก่อนตาย

25 เม.ย. 67 - วางแผนก่อนตาย : โดยทำพินัยกรรม และจะให้ดี ต้องทำพินัยกรรมชีวิตด้วย ซึ่งเรื่องหนึ่งในการทำพินัยกรรมนั้น เราจะต้องคิดแล้วระบุไว้คือ จะให้ทำอย่างไรกับตัวเราหากว่าเราอยู่ในระยะท้าย ไม่สามารถตัดสินใจได้ หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ซึ่งข้อนี้เรียกว่า Living Will ที่เหลือเป็น Will ธรรมดา หรือพินัยกรรมธรรมดา ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ธรรมดาถ้าหากว่าเราทำให้เรียบร้อย เราจะได้ไม่มีความกังวลเมื่อเราใกล้จะสิ้นลม ก็จะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานของเราแม้จะไม่ใช่ในเรื่องของทรัพย์สมบัติก็ตาม   ยกตัวอย่างเช่น งานศพ เดี๋ยวนี้งานศพ ทำกันฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมาก โดยเฉพาะคนที่รวย คนที่มีสถานภาพทางสังคม บ่อยครั้งเป็นไปเพื่อหน้าตาของเจ้าภาพ แต่เราจะเรียกว่าผู้เป็นเจ้าของงาน เขาจัดงานศพให้เรา เราอยากให้งานศพของเราเป็นงานที่มีสาระ ถ้าเราไม่ระบุไว้ ลูกหลานหรือทายาทที่ยังอยู่ เขาก็คิดว่าทำเต็มที่ให้สมเกียรติของเรา ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาก็ได้ เราอยากจะได้งานศพมีน้อยวัน 3 วัน ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่ทำลายหรือผลาญทรัพยากรเป็นต้น 
8/11/202441 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25670423pm--ธรรมรักษาใจ

23 เม.ย. 67 - ธรรมรักษาใจ 
8/10/202430 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670421pm--ทำเล่นๆและทำเยอะๆ

21 เม.ย. 67 - ทำเล่นๆและทำเยอะๆ : การปฏิบัติธรรมของพวกเราก็เหมือนกัน คนที่ทำมากจะได้เปรียบ เพราะว่าสติจะเติบโตได้เร็ว ถึงแม้ว่าใหม่ ๆ จะฟุ้งเสียเยอะ ทำเล่น ๆ แต่ทำเรื่อย ๆ ทำเยอะ ๆ กว่าจะรู้ตัวก็คิดไปแล้ว 10 เรื่อง แต่ว่าพอทำเยอะ ๆ บ่อย ๆ จะเห็นความก้าวหน้า แต่ก่อน คิด 10 เรื่องถึงจะรู้ตัวว่าเผลอไปแล้ว แต่พอทำไป ๆ ความคิดสั้นลง คิดไปได้ 8 เรื่องก็รู้ตัวแล้ว ทำไปอีก เดินจงกรมไปอีกหลายร้อยเที่ยว คราวนี้ความคิดสั้นลง เหลือแค่ 5 เรื่องก็รู้ตัวแล้ว และสุดท้าย คิดเรื่องเดียวยังไม่ทันจะจบเลยก็รู้แล้ว นี่เรียกว่าสติเร็ว รู้ทันความคิดได้เร็ว โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ปล่อยให้สติทำงานเอง ไม่ได้คิดจ้อง ไม่ได้จ้องความคิด ไม่ได้พยายามบังคับความคิด เพราะทำเล่น ๆ   ทำเล่น ๆ แต่ว่าทำเยอะ ๆ ทำบ่อย ๆ ก็รู้เอง สติได้โอกาสทำงานบ่อย ๆ พอสติได้ทำงานบ่อย ๆ หรือว่าถูกใช้งานบ่อย ๆ ก็จะคล่องแคล่ว กลายเป็นว่า ทีแรกเอาปริมาณไว้ก่อน เน้นปริมาณเป็นหลัก แต่ผลสุดท้ายได้คุณภาพ จิตมีคุณภาพ คือ มีสติ อันนี้ยังไม่ต้องเชื่อ ลองไปทำดู ทำเล่น ๆ แต่ทำเยอะ ๆ ทำมาก ๆ แล้วยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วเราจะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับใจเราในที่สุด 
8/9/202424 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670420pm--สิ่งดีๆทำให้เป็นเรื่องง่าย

20 เม.ย. 67 - สิ่งดีๆทำให้เป็นเรื่องง่าย : เวลาสวดมนต์ หรือว่าเวลาฟังธรรม หรือว่าเวลาเจริญสติ ใจนึกถึงสิ่งที่จะทำต่อไป เดี๋ยวจะต้องไปเช็ค Mail เดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปคุยกับแม่ พอใจคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไปหรือทำลำดับถัดไป เกิดความรุ่มร้อน อยากจะรีบทำให้เสร็จ ๆ จะได้ไปทำสิ่งที่อยากจะทำในลำดับถัดไป อันนี้เราต้องวางใจ คือ ต้องวางสิ่งที่อยากจะทำลำดับถัดไป คืออะไร สำคัญแค่ไหน วางเอาไว้ก่อน ให้เราเอาใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเจริญสติ ทำสมาธิ สวดมนต์ ฟังธรรม หรือว่าออกกำลังกาย ให้ใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าทำ แต่ว่าเป็นแค่รูปแบบ แต่ว่าใจไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ   แล้วขณะเดียวกัน ต้องตระหนักว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคกับการทำสิ่งดี ๆ ก็คือ กิจวัตรเดิม ๆ ซึ่งเป็นการทำเพื่อสนองกิเลส หลายคนไม่สามารถทำสิ่งดี ๆ ได้ เพราะว่าใจยังติดอยู่กับ หรือหวนนึกถึงการเล่นเกม การดูหนัง การออนไลน์ แล้วหลายคนจะพบว่าห้ามใจลำบาก รู้ว่าไม่ดี แต่ว่าห้ามลำบาก   ที่จริงไม่ใช่เฉพาะการทำวัตรสวดมนต์ การเจริญสติ การออกกำลังกาย แม้กระทั่งการทำงาน หลายคนไม่มีสมาธิกับการทำงาน ไม่มีสมาธิกับการศึกษาหาความรู้เลย ไม่ว่าเตรียมสอบ หรือเตรียมทำวิทยานิพนธ์ เพราะว่าติดเกม ติดโทรศัพท์มือถือ รู้ว่าไม่ดี แต่ห้ามไม่ได้ ถึงตอนนี้ต้องรู้จักทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องยาก สิ่งดีต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย สิ่งไม่ดีต้องทำให้เป็นเรื่องยาก 
8/8/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670419pm--ได้ดีชีวิตงามเพราะความทุกข์

19 เม.ย. 67 - ได้ดีชีวิตงามเพราะความทุกข์ : ไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรม ความทุกข์มันมีประโยชน์ ไม่เจอความทุกข์เสียเลยมันก็ไม่ดี แต่ถ้าเจอความทุกข์หนักไปก็อาจจะไม่รอด ถ้าเจอความทุกข์พอประมาณก็สามารถที่จะเป็นเครื่องหนุนส่งให้ชีวิตนี้เจริญงอกงามได้ ไม่ใช่เฉพาะในทางโลก แต่ว่ารวมถึงในทางธรรม เพราะฉะนั้นชาวพุทธจริง ๆ ไม่กลัวทุกข์ เพราะว่าถ้าไม่เจอทุกข์ จะรู้ธรรมหรือเห็นธรรมได้อย่างไร แต่ถ้ารู้จักพุทธศาสนาอย่างผิวเผิน คิดแต่จะหนีทุกข์อย่างเดียว ทำบุญเพื่อหนีทุกข์ เพราะคิดว่าบุญนี้จะทำให้มีโชคมีลาภ ไม่เจ็บไม่ป่วย ทั้งที่มันก็สวนทางกับความเป็นจริง   แต่ถ้าหากว่าเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง ก็จะรู้ว่าทุกข์นี้มีประโยชน์ เพราะว่าถ้ารู้ทุกข์ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงกับเขียนเป็นคติธรรมสั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษ No Mud, No Lotus ไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว คือไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการรู้ธรรมหรือตรัสรู้   เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราเจอทุกข์ให้ถือว่าได้ของดี แม้จะเจอทุกข์หนักๆ แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะ ทุกข์หนักๆ ก็สามารถจะกลายเป็นแรงผลักให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจอทุกข์แบบพอประมาณ แต่อันนี้ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรช่วยด้วย เจอทุกข์หนักๆ แต่มีกัลยาณมิตรก็สามารถที่จะเกิดสติได้ปัญญาได้ 
8/7/202427 minutes, 1 second
Episode Artwork

25670418pm--ไฟป่าสอนธรรม

18 เม.ย. 67 - ไฟป่าสอนธรรม : ไฟก็มีประโยชน์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเดียว มีประโยชน์สำหรับการรักษาป่าด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไฟมันยังช่วยทำให้เมล็ดหรือเม็ดของต้นไม้หลายชนิดมันสามารถจะเติบโตเป็นต้นกล้าได้ ถ้าไม่มีไฟเผามัน มันก็ไม่แตกเป็นต้นกล้านะ มันต้องโดนไฟเผา มันถึงจะแตกเป็นต้นกล้า แล้วก็ทำให้เกิดต้นไม้รุ่นต่อไป มันก็สอดคล้องกับความจริงที่ว่า ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์ ตัณหาก็ดี หรือว่าความคิดฟุ้งซ่านก็ดี ความหลงก็ดีมีประโยชน์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดอยู่เสมอ อย่างเช่นความโกรธ ท่านก็เคยสอนว่ามันทำให้เราเห็นสัจธรรม ความโกรธก็ทำให้เราเห็นสัจธรรม ถูกต่อว่าก็เห็นสัจธรรมได้   ความหลงก็เป็นเชื้อให้เกิดความรู้ตัว เปลี่ยนความหลงให้กลายเป็นความไม่หลง เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ หรือที่หลวงพ่อเทียนบอกว่า “ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้” หมายความว่ายิ่งคิดฟุ้งซ่าน ก็ยิ่งรู้ตัวได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น แล้วเราก็ต้องรู้จักใช้ของเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แล้วรู้จักเกี่ยวข้องกับมันให้ถูกวิธี 
8/6/202430 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25670417pm--อย่าหลงเชื่อความคิดที่สนองกิเลส

17 เม.ย. 67 - อย่าหลงเชื่อความคิดที่สนองกิเลส : คนเราเมื่อมีความเชื่อ มีความคิดใดก็ตาม แม้จะเจอข้อมูลที่หักล้าง ที่ขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนใจ ข้อมูลไม่ได้ช่วยทำให้คนเราเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนความเห็นได้เลย เพราะว่าเชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าความคิดของฉันดี เจอข้อมูลที่แตกต่างที่ขัดแย้งก็ไม่สนใจ สนใจแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความเห็นเดิมของฉัน คนเราเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันชี้ให้เห็นว่า คนเรามีความยึดมั่นในความคิดความเชื่อของตัวมาก และมีโอกาสที่จะคล้อยตาม คล้อยตามยังไม่พอ ปกป้องด้วย ทั้ง ๆ ที่อาจจะเป็นความเห็นที่ผิดก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องระวัง   เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ทันความคิด แล้วรู้จักทักท้วงความคิด มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเลย เพราะไม่อย่างนั้นเราจะหลงเชื่อความคิดตะพึดตะพือ เพียงแค่ว่าเป็นความคิดของฉันก็หลงเชื่อแล้ว และก็ปกป้องทั้งที่มันอาจจะผิดก็ได้ การเจริญสติทำให้เรามีโอกาสที่จะรู้ทันความคิด แล้วก็ทักท้วงความคิดด้วย ไม่หลงเชื่อง่าย ๆ แล้วก็ทำให้เราสามารถจะเป็นอิสระจากความคิด หรือว่าเปิดโอกาสให้ความคิดหรือความเห็นที่มาจากปัญญาจริง ๆ มันทำงาน เข้ามาเป็นตัวนำพาชีวิตเราไปสู่ทางที่ถูกต้องได้ ไม่ใช่หลงเชื่อแต่ความคิดหรือเหตุผลที่กิเลสสรรหา หรือปกป้องความคิดที่มันผิดพลาด เพียงเพราะเป็นความคิดของกูเท่านั้น 
8/5/202428 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670416pm--อันตรายอยู่ที่ใจเรา

16 เม.ย. 67 - อันตรายอยู่ที่ใจเรา : บางทีสิ่งที่เราวิตกกังวลก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องที่เราแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ได้น่ากลัว แต่มาปรุงแต่งและขยายความสร้างภาพให้รุนแรงขึ้น ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยจริงๆ บางคนเดินกลางแดดไม่มีอะไรเท่าไหร่ แต่พอคิดว่าเดินกลางแดดแล้วต้องเป็นไข้ ต้องปวดหัว ปรากฏว่าเป็นจริงๆ ไม่ใช่ความร้อนของแดด แต่เป็นเพราะความวิตกกังวล วิตกกังวลเรื่องอะไร หรือวิตกกังวลว่าจะเป็นอะไร มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เจอที่ประสบนี้เล็กน้อยมาก แต่สิ่งที่วิตกกังวลในใจต่างหากที่มันทำร้ายเรา เพราะฉะนั้นอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้นก็อย่าไปวิตกกังวลมาก เราเตรียมใจเผื่อไว้ว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไปเอาจริงเอาจังกับมันจนกระทั่งเกิดความวิตกกังวลอย่างหนัก   อะไรที่ยังไม่เกิด อย่าพึ่งไปวิตกกังวลกับมัน เพราะว่ามันอาจจะไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะไม่รุนแรงอย่างที่คิดก็ได้ อันนี้เป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือกำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ทุกข์ แต่ถ้าใครมีชีวิตที่ราบรื่นปกติ เตือนใจไว้หน่อยก็ดี ว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ หมายถึงสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ปรารถนาก็เกิดขึ้นได้   ถ้าทำได้สองอย่างนี้ก็จะช่วยทำให้การวางจิตวางใจของเราอยู่ในสภาวะจิตที่สมดุล เจอทุกข์ก็เตรียมตัวรับมือไว้แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ประสาทจนกระทั่งความวิตกกังวลมาเล่นงานเราเสียย่ำแย่ 
8/4/202426 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670415pm--สงบได้เพราะใจกลับมาไว

15 เม.ย. 67 - สงบได้เพราะใจกลับมาไว : (การดักจ้องความคิด) ทำแบบนี้บ่อยๆ ก็จะเครียด อย่าไปทำแทนสติ เราต้องให้สติทำงาน แม้จะช้าแต่ว่าเขาก็จะเติบโต เขาก็จะเรียนรู้ได้ เหมือนกับเราให้ลูกซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ใหม่ๆ ลูกก็ทำไม่สะอาดหรอก ใช้เวลานาน พ่อแม่บางคนเห็นลูกทำงานช้าแล้วก็ไม่ละเอียดลออ เลยทำเองเลย เร็ว ผลงานออกมาดี จานก็สะอาด แต่ลูกก็ไม่ได้ฝึกเลย แล้วเราก็เหนื่อยเพราะว่าเราก็ต้องทำหลายอย่าง เราต้องให้โอกาสลูกได้ทำเอง แม้ว่าจะช้า แม้ว่าจะไม่เนี้ยบ แต่ว่าถ้าเราให้เขาได้ทำบ่อยๆ เขาจะทำได้ดีขึ้น แล้วก็จะทุ่นแรงเรา เราก็จะได้ไปทำอย่างอื่น เราก็จะเหนื่อยน้อยลง เพราะฉะนั้นในการฝึกให้มีความระลึกได้ หรือฝึกให้จิตกลับมา ต้องให้สติ เขาทำของเขาเองนะ แล้วพอสติพาจิตออกมาจากความคิด ต่อไปไม่ใช่แค่ความคิดอย่างเดียว อารมณ์นานาชนิดที่จิตมันเคยเผลอจมเข้าไป สติก็จะดึงจิตออกมาจากอารมณ์นั้น กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ตามมาคือความสงบ   แต่ก่อนนี้ว้าวุ่น รุ่มร้อน เพราะความโกรธ เพราะความเครียด เพราะความเศร้า แต่ตอนหลังอารมณ์พวกนี้มันจะบรรเทาลง เราจะทุกข์น้อยลง ใจเราจะสงบมากขึ้น เพราะว่าสตินี้พาจิตกลับมาสู่ปัจจุบันได้เร็ว อารมณ์พวกนี้มันก็เลยไม่รบกวน รังควาน หรือเผาลนจิตนานเหมือนเมื่อก่อน เป็นความสงบที่เกิดขึ้นจากการที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ เป็นความสงบที่เกิดจากการที่จิตกลับมาสู่ปัจจุบันได้เร็ว ให้เราฝึกแบบนี้แหละ 
7/31/202426 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25670414pm--ความตั้งใจดีสำเร็จได้ด้วยตัวช่วย

14 เม.ย. 67 - ความตั้งใจดีสำเร็จได้ด้วยตัวช่วย : ถ้าต้องการสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องไปใช้อาศัยสิ่งแวดล้อมใหม่ เช่นไปร้านใหม่ พอไปร้านใหม่ มันก็จะไม่ไปมองหาแต่ของชอบที่เคยกิน แต่ว่าอยากจะเลิกกินเพราะว่าไม่ดีต่อสุขภาพ นี่ก็เป็นตัวช่วยซึ่งมันทำให้นิสัยความเคยชินใหม่ๆ นี้เกิดขึ้นได้ มันก็คล้าย ๆ กับคนที่เวลามาวัด แล้วเลิกบุหรี่ได้ เลิกเหล้าได้ แต่พอกลับไปบ้านทีไร หวนกลับไปสู่นิสัยเดิม เพราะว่านิสัยเดิมมันไปผูกติดกับสถานที่ พอกลับไปสถานที่เดิม นิสัยเดิมก็เกิดขึ้น มันก็ถูกกระตุ้นเร้าทันที   เขาจึงบอกว่าถ้าอยากจะเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกการพนัน มันต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าไปอยู่สิ่งแวดล้อมเดิม นิสัยเดิมก็จะเลิกยาก นิสัยใหม่ก็จะสร้างขึ้นได้ยากเหมือนกัน อันนี้เป็นตัวช่วยที่ควรจะเอามาใช้เพื่อเสริมความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าความตั้งใจอย่างเดียวมันจะพอ มันต้องมีตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถทำอย่างที่ตั้งใจได้ รวมทั้งการสร้างสิ่งแวดล้อม   อันนี้คือเหตุผลที่พระจึงมีวินัยซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยทำให้ความตั้งใจของพระที่มาบวชมันสัมฤทธิ์ผล มีความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่มันเกื้อกูลด้วย แต่ว่าฆราวาสจะให้มีสิ่งแวดล้อมแบบพระก็ยาก   แต่ว่าเราสามารถที่จะสร้างตัวช่วยของเราเอง ที่จะทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ทำให้ปณิธานนี้มันเป็นจริง ไม่ว่าเป็นการออกกำลังกาย การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ การเจริญสติ หรือว่าการฟังธรรม 
7/30/202426 minutes
Episode Artwork

25670413pm--คลายร้อนด้วยสติ

13 เม.ย. 67 - คลายร้อนด้วยสติ : เจอะอะไรก็ตาม เช่น เจอความร้อน มันคิด มันนึก มันรู้สึกอย่างไร ก็เห็นมัน แค่เห็นก็ช่วยได้เยอะแล้ว เห็นความหงุดหงิด เห็นความขุ่นมัว เห็นความสุข เห็นความโศกความเศร้า หรือแม้กระทั่งเห็นความดีใจ สงกรานต์หลายคนก็ได้สนุกสนาน ดีใจหรือรู้สึกสนุกก็ควรจะเห็นมัน เห็นความดีใจ เห็นความเพลิดเพลิน อันนี้ก็ควรจะเห็นด้วย เห็นแล้วก็อย่าได้ไปติดมัน เจอความเพลิดเพลินก็เห็นใจที่มันเพลิน จะได้ไม่ไปติดกับความเพลิดเพลิน เจอความร้อนก็เห็นใจที่หงุดหงิด จิตจะได้ไม่ไปผลักไสความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ เพราะยิ่งผลักไสก็ยิ่งเท่ากับเพิ่มทุกข์ให้กับใจ   เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมัวบ่นโวยวายตีโพยตีพายกับความร้อน อย่างนี้เรียกว่าขาดทุน หลวงพ่อคำเขียนท่านก็คงจะพูดว่า “ทุกข์ฟรี ๆ” อย่าทุกข์ฟรี ในเมื่ออากาศร้อน กายมันร้อนแล้วคือกายทุกข์ ก็อย่าทุกข์ฟรี ๆ ให้มาเรียนรู้จากความทุกข์ด้วยการเห็น เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้น   หรือถ้ายังเห็นไม่ถนัด ก็เห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความทุกข์ เห็นความทุกข์โดยเฉพาะทุกข์กาย เรียกว่าเห็นเวทนา ซึ่งยากส่วนใหญ่พอเห็นความปวดก็เป็นผู้ปวดเลย แต่ว่าเห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความปวด เห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความร้อน อันนี้ทำได้ง่ายกว่า เพราะว่ามันจะมีเสียงบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย มีความหงุดหงิด   แค่เห็นนี้ก็ถือว่าได้ปฏิบัติแล้ว แต่ต้องเห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น ไม่ผลักไส หรือไหลตาม แล้วคือโอกาสดีของการปฏิบัติ เจอความร้อน ก็ฝึกสติกับความร้อนแหละ และแน่นอนถ้าทำอะไรก็ให้มีสติกับการทำสิ่งนั้น ฝึกสติกับการทำ และการได้เจอะเจอกับอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา 
7/29/202428 minutes
Episode Artwork

25670412pm--สอนเด็กไปด้วย สอนตนไปด้วย

12 เม.ย. 67 - สอนเด็กไปด้วย สอนตนไปด้วย : การสอนการบรรยาย ถ้าเราจริงใจกับการสอนการบรรยายเราก็พลอยได้ประโยชน์จากเนื้อความที่เราสอน คือเข้าใจชัดเจนขึ้น ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ แล้วขณะเดียวกันถ้าเราต้องการให้เขามีความสนุกกับการเรียน เราก็ต้องมีความสุขกับการสอน ครูที่ไม่มีความสุขหรือความสนุกกับการสอน มันก็ยากที่จะทำให้เด็กมีความสุข หรือสนุกกับการเรียน ฉะนั้นอันนี้ก็เป็นประโยชน์ที่คนที่เป็นครูจะได้รับ ส่วนผู้สอนผู้บรรยายก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าเกิดว่าจะแนะนำให้เขาทำอะไร ในเรื่องศีลเรื่องธรรมมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ตัวเองต้องทำสิ่งนั้นด้วย เพราะว่าถ้าหากว่าตัวเองไม่ทำ หรือทำไม่ได้ สิ่งที่พูดไปมันก็ไร้ประโยชน์   พ่อแม่ถ้าเกิดว่าสอนอะไรไป แต่ตัวเองทำไม่ได้อย่างที่สอนลูก มันก็ไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ ดังนั้นการสอนใคร การแนะนำใคร ไม่ว่าจะเป็น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพ่อแม่หรือเป็นครู มันก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้ตัวเองทำให้ได้อย่างที่พูด แนะนำเขาอย่างไรเราก็ควรจะทำได้อย่างนั้น อันนี้ก็เป็นประโยชน์ แนะนำให้เขาทำความเพียรเราก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่างให้เขาเห็น ไม่ว่าเราคือครูหรือเป็นผู้ปกครองก็ตาม อันนี้ก็เป็นประโยชน์ที่ผู้สอน ผู้เป็นครูจะได้รับ   ในสมัยพุทธกาล มีพระบางท่านเทศน์ไป สอนไป ไม่ใช่แค่ทำให้ผู้อื่นตรัสรู้เท่านั้น ตัวท่านเองก็พลอยตรัสรู้ไปด้วย บรรลุธรรมขั้นสูงไปด้วย มีประเภทว่าสอนให้ผู้อื่นบรรลุธรรมแต่ตัวเองไม่บรรลุธรรม แต่ว่าก็มีบางท่านสอนไป ๆ ก็เกิดบรรลุธรรมในขณะที่กำลังสอน กำลังบรรยายนั้น อันนี้เรียกว่าทำทั้งประโยชน์ท่านและประโยชน์ตน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราควรจะเข้าถึงให้ได้ เมื่อเราทำประโยชน์ท่านแล้ว ก็อย่าลืมเก็บเกี่ยวประโยชน์ตนให้เกิดขึ้นกับตนด้วย 
7/28/202429 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670411pm--เติมสติลงไปในทุกนิสัย

11 เม.ย. 67 - เติมสติลงไปในทุกนิสัย : สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่ามองข้าม และเราสามารถที่จะพัฒนาชีวิตหรือคุณภาพจิตเราได้ด้วยการสร้างนิสัยใหม่ กิจวัตรเดิมนั่นแหละ แต่ว่าทำด้วยคุณภาพใหม่ คือทำด้วยความรู้สึกตัว เช่น เมื่อนอนรู้สึกตัวขึ้นมาก็ลุกเลย ไม่ต้องนอนแช่ ลุก ในที่นี้หมายถึง ลุกนั่ง แล้วอาจจะทำความรู้สึกตัว ตามลมหายใจ ยังไม่ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู พอลุกก็ลุกด้วยความรู้สึกตัว ไม่หุนหันพลันแล่น แล้วเก็บที่นอน ระหว่างที่เก็บที่นอน พับที่นอน ก็ทำอย่างมีสติ ด้วยความรู้สึกตัว ทำเสร็จเป็นอย่าง ๆ ไม่ใช่ปล่อยค้างเอาไว้ ด้วยความเข้าใจว่า เดี๋ยวก่อนจะก่อนจะออกจากบ้านไปทำงานค่อยมาเก็บที่นอน อันนั้นไม่ทำให้เกิดนิสัยใหม่ที่ทำอะไรให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ทำให้เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือว่าช่วยเสริมสร้างความรู้สึกตัวให้มากขึ้น อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า หวีผม ใส่เสื้อผ้า แม้กระทั่งว่าจะสวมหรือว่าใส่เสื้อด้วยแขนซ้ายหรือแขนขวาก่อน ก็เป็นนิสัย สวมกางเกง จะเริ่มจากขาซ้ายก่อนหรือหรือขาขวาก่อน นี่ก็เป็นนิสัย แต่จะขาซ้ายก่อนหรือขาขวาก่อน แขนซ้ายก่อนหรือแขนขวาก่อน ไม่สำคัญ แต่ขอให้ทำอย่างมีสติ แล้วไม่ต้องคาดหวังว่าต้องมีสติเต็มร้อย แม้ว่าแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็มีค่า มีความหมาย ถ้าหากว่าทำทุกวัน ด้วยความตั้งใจว่าจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมวันละ 1 เปอร์เซ็นต์ ครบปี ตัวเลขมันเยอะ   เอาง่าย ๆ เวลาที่เราใช้ในห้องน้ำ ตลอดทั้งชีวิต ถ้าเราอายุ 75 รวมเวลาที่เราใช้ในห้องน้ำตลอดชีวิต 7 ปีได้ ถ้าเราอยู่ในห้องน้ำอย่างมีสติเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกวัน รวมแล้วจะเยอะแค่ไหน รวมแล้วเกือบปีเลย แต่คนเราถ้าหากว่าทำทุกวัน ๆ จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 12 เปอร์เซ็นต์ 13 เปอร์เซ็นต์   เพราะฉะนั้น เวลาเราคิดถึงการเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว หรือต้องการทำให้เราเป็นคนที่มีสติ อย่านึกแต่เพียงแค่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ทำเต็มที่ เสร็จแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม นิสัยเดิม ๆ อย่างนี้สู้การที่เราอยู่ที่บ้าน แต่ว่าเราพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการทำให้กิจวัตรที่ทำเป็นนิสัย สิ่งละอันพันละน้อยดีขึ้นเรื่อย ๆ ใส่สติ ความรู้สึกตัว เติมไปเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือสร้างความเป็นตัวเราให้ดีกว่าเดิม หรือที่เขาเรียกว่า “ตัวเราในเวอร์ชั่นใหม่” ที่ดีกว่าเดิมได้ 
7/27/202426 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670410pm--ทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ใจ

10 เม.ย. 67 - ทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ใจ 
7/26/202426 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25670409pm--ความดีถ้ายึดติด จิตก็ตกได้

9 เม.ย. 67 - ความดีถ้ายึดติด จิตก็ตกได้ : คลิปที่หลวงจีนสวดมนต์แล้วมีหมามากวน มีข้อความหนึ่งพ่วงมากับคลิปนี้ คล้าย ๆ พูดแทนความรู้สึกของหลวงจีนว่า “จะไปนิพพานไม่ได้เพราะหมา 2 ตัวนี้แหละ” ที่จริงไม่ใช่เลย ถ้าจะไปนิพพานไม่ได้เพราะปล่อยวางไม่ได้ต่างหาก ขนาดหมา 2 ตัวนี้ยังทำให้ใจไม่สงบ ไม่สามารถจะมีสติ มีสมาธิกับการสวดมนต์ได้ ไม่ต้องพูดถึงนิพพานแล้ว เพราะว่านิพพานเป็นทางที่ยาวไกล ต้องเจออะไรอีกเยอะ นี่แค่หมา 2 ตัวมาเล่นกัน แล้วถ้าเกิดโดนคนด่า คนนินทา จะยิ่งไม่ว้าวุ่นหงุดหงิดงุ่นง่านยิ่งกว่านี้หรือ   หมา 2 ตัวเล่นยังน่ารักเลย ถ้าไม่ใส่ใจกับมัน หรือว่าเห็นว่ามันก็สนุกของมัน ขนาดทำใจกับหมา 2 ตัวไม่ได้แล้ว จะทำใจอย่างไรกับคำต่อว่าด่าทอเสียดสีวิจารณ์หรือว่าอะไรที่หนักกว่านั้น ที่จริงหมา 2 ตัวนี้มาฝึก ฝึกให้รู้จักปล่อยวาง ให้รู้จักไม่ใส่ใจกับมัน มันจะเล่นก็ช่างมัน แต่ว่าใจอยู่กับการสวดไป ฝึกให้อยู่กับปัจจุบัน ฝึกให้น้อมจิตถึงพระพุทธองค์ พระอมิตาภะก็ได้   ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าหลวงจีนคนนั้นเชื่อจริง ๆ ว่า นิพพานไม่ได้เพราะว่าหมา 2 ตัวนี้ แสดงว่าผิดแล้ว ที่จริง นิพพานไม่ได้เพราะยังไม่ปล่อยวาง หรือพูดอีกอย่างคือว่า เรื่องแค่นี้ยังปล่อยวางไม่ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องนิพพานแล้ว เอาแค่ว่าอยู่อย่างปกติสุขก็ทำได้ยากแล้ว   เพราะฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรมหรือทำความดีอะไรก็ตาม ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายว่าทำไปเพื่ออะไร ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เรื่องการปฏิบัติธรรมแล้ว สาระสำคัญอยู่ที่การวางใจ หรือ การฝึกใจ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน หรือรู้จักที่จะไม่ใส่ใจ ไม่ถือสา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่แหละเป็นการฝึกขั้นต้นของการปฏิบัติ   ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ จิตใจก็ขุ่นมัวหงุดหงิดได้ง่ายกับอะไรต่ออะไรที่มากระทบ ที่มาเป็นอุปสรรคให้เราไม่สามารถจะทำความดีอย่างที่ต้องการได้ และที่จริงแล้ว เป็นไปเพราะความยึดมั่นในความต้องการ ความยึดมั่นในแบบแผนที่อยู่ในใจเราต่างหากที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นเลย
7/25/202426 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25670408pm--ไม่ใส่ใจ ก็ไม่ทุกข์

8 เม.ย. 67 - ไม่ใส่ใจ ก็ไม่ทุกข์ : แต่เพราะว่าเรามัวแต่ใส่ใจทุกความคิดทุกอารมณ์ มันคิดอะไรก็หลงเชื่อมัน ความโกรธสั่งอะไรก็คล้อยตามมัน เราก็เลยไม่มีความสงบสุขเสียที การปฏิบัติธรรม หรือการเจริญสติ ก็คือการเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับความคิดและอารมณ์เหล่านี้ ไม่ใส่ใจกับอดีตหรืออนาคต แต่ว่าใส่ใจกับปัจจุบัน ใส่ใจกับสิ่งที่กายกำลังทำ จึงรู้กาย แล้วก็ เวลามันมีความคิดอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น พอไม่ใส่ใจมัน จิตมันก็กลับมาสู่ความปกติ ถ้าเราฝึกให้รู้จักที่จะไม่ใส่ใจกับความคิดและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นกุศล หรืออกุศล แต่ว่าเลือกที่จะใส่ใจกับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถึงเวลาที่ไปเจออารมณ์จากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือการกระทำ คำพูด หรือว่าอากาศร้อน อากาศหนาว เราก็สามารถจะเมินเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่ถือสามันได้ และเราก็สามารถจะเลือกใส่ใจกับสิ่งที่มีประโยชน์ มีคุณค่า   เรียกว่าสิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็ดี หรือสิ่งยั่วยุก็ดี ก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจเราอีกต่อไป เพราะเราสามารถที่จะไม่ใส่ใจ หรือไม่ถือสา หรือว่าแม้จะเผลอไปใส่ใจกับมัน แต่ก็สามารถจะวางมันได้ หรือปล่อยให้มันผ่านเลยไป 
7/24/202428 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25670407pm--คนมีปัญญาย่อมไม่ถือสา

7 เม.ย. 67 - คนมีปัญญาย่อมไม่ถือสา : คนเราถ้าไม่รู้จักให้อภัยก็น่าสงสาร เพราะว่าความโกรธความเกลียดจะล้นเกินในจิตใจ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถึงแม้การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา จะเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตอยู่โดยมีความโกรธความเกลียดล้นเกินในจิตใจ กลับเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า ชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธความเกลียดเป็นชีวิตที่อยู่ยาก หลายคนยอมให้อภัย เพราะพวกเขาพบว่าเขาอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้ายังมีความโกรธความเกลียดอยู่ พอให้อภัยจิตใจก็โปร่งโล่ง เบาสบาย หลายคนถึงกับบอกว่า ถ้ารู้แบบนี้ก็ทำไปนานแล้ว การให้อภัยมันดีกับตัวเราเอง ผู้ซึ่งถูกความโกรธความเกลียดเล่นงาน เวลาเรามีความโกรธความเกลียด มันเหมือนกับว่าเรามีแผลที่ใจ เมื่อเรามีแผลที่ใจ เราก็ต้องรู้จักเยียวยารักษาตัวเอง 
7/11/202430 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670406pm-เยียวยาใจจากความเจ็บปวดในอดีต

6 เม.ย. 67 - เยียวยาใจจากความเจ็บปวดในอดีต : ชดใช้กรรมกับการใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ไม่เหมือนกัน คนเราเวลาเจ็บป่วย บางคนก็ป่วยเพราะกรรม ป่วยเพราะชดใช้กรรมก็อาจมี อาจจะเป็นจริง เพราะว่าตอนที่สุขภาพดีก็กินเหล้าสูบบุหรี่จนกระทั่งป่วย อันนี้ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ไม่ใช่กรรมในอดีต แต่เป็นกรรมในปัจจุบัน แต่ว่าเรายังสามารถ “ใช้กรรมให้เป็นประโยชน์” ได้ ใช้ความเจ็บป่วยเป็นประโยชน์ ให้ความเจ็บปวดมันสอนธรรม สอนสัจธรรมให้เห็นว่าสังขารไม่เที่ยง คือให้ความเจ็บป่วยนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำความดี ในขณะที่เวลาเหลือน้อยลงไป อันนี้เราใช้กรรมให้เพื่อเป็นประโยชน์ คือใช้กรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศล ทำให้เกิดความไม่ประมาท ทำให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรม ซึ่งการที่เธอได้รับประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด ถ้าหากว่าใช้เป็นประโยชน์มันก็มีคุณ อย่างน้อยก็เอามาเป็นเครื่องฝึก เอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นความสำคัญของการฝึกจิต ทำยังไงจิตของเราจะหลุดพ้นจากความโกรธ ความเกลียดที่มันฝังใจ ในเมื่อมีความทุกข์ก็พยายามฝึกจิตจนกระทั่งสามารถที่จะหลุดจากความทุกข์ หลุดจากความเจ็บปวดที่ฝังใจได้   หลายคนมีความทุกข์แต่ก็อาศัยความทุกข์นั้นเป็นตัวกระตุ้น เป็นแรงผลักให้เกิดการทำความเพียรในการฝึกจิต จนอยู่เหนือความโกรธ ความเกลียด อยู่เหนือความเจ็บ ความปวด คนเราถ้าไม่เจอทุกข์บางทีก็ไม่สนใจที่จะเข้าหาธรรม หรือว่าปฏิบัติธรรม คนที่เจอทุกข์แล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมจนกระทั่งหลุดจากทุกข์ได้ อันนี้เรียกว่าใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมีเยอะมาก   ฉะนั้นถ้าหากเข้าใจว่า ที่ทำดีกับแม่เวลานี้มันไม่ใช่เป็นการชดใช้กรรม แต่ก็คือการทำกรรมดี แล้วจะดียิ่งขึ้นถ้าหากว่ารู้จักใช้กรรม หรือความทุกข์ที่ประสบให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถทำได้ เข้าถึงธรรมได้ 
7/10/202429 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670405pm--การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

5 เม.ย. 67 - การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
7/9/20241 hour, 1 minute, 13 seconds
Episode Artwork

25670331pm--ของดี ต้องพอดี จึงจะดีจริง

31 มี.ค. 67 - ของดี ต้องพอดี จึงจะดีจริง : พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้น ความเพียร ถ้าเพียรน้อยไปก็เกียจคร้าน แต่ถ้าเพียร (คือขยัน) มากไปก็ฟุ้งซ่าน” ฟุ้งซ่านก็รวมไปถึงความเครียดด้วย ต้องเพียรแต่พอดี พอพระพุทธเจ้าแนะนำเช่นนี้ พระโสณะก็เริ่มปรับ ปรับท่าทีเสียใหม่ ปรับใจเสียใหม่ ความเพียรก็กลับมาสู่ความพอดี ใจก็ไม่ได้คิดแต่จะทำด้วยอาการคร่ำเคร่ง คิดจะเอา จะเอาให้ได้ ใจก็ผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยหรือลืมตัว พอความเพียรปรับให้พอดี ปรากฏว่าการปฏิบัติธรรมของพระโสณะก็เห็นผลทันที ในที่สุดก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าความเพียรแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเกินความพอดีไปก็จะไม่ดี   พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนเรื่องความเพียรแต่พอดี ท่านใช้คำว่า วิริยสมตา ความเพียรแต่พอดี อันนี้ไม่เกี่ยวกับทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นอันหนึ่ง แต่ความพอดีหมายถึงว่าเป็นเรื่องของปริมาณ ไม่น้อยแล้วก็ไม่มาก เช่น ความสบายไม่มากเกินไป แล้วก็ไม่น้อยเกินไป มีเงินมีทรัพย์ก็ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป   สิ่งที่ดี ๆ หรือคุณธรรม เช่น ความเพียร ก็เหมือนกัน เราต้องรู้จักความพอดี เมื่อทำความพอดีให้เกิดขึ้นก็จะเกิดผลดี ของดีถ้าเกินความพอดีไปก็กลายเป็นไม่ดี   อันนี้ต่างจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่มองว่า อะไรที่ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่ว่าในโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัย หรือเรื่องของธรรมะ สุขภาพจิต หรือเรื่องของการปฏิบัติธรรม มีความพอดีของมัน ช่วงแรก ๆ มีมากก็ดี แต่พอถึงจุดหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งไม่ดีแล้ว ฉะนั้น ต้องรู้จักหาความพอดี ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้จักความพอดี ถ้าเราหาความพอดีไม่เจอ อาจจะทำให้ ถ้าไม่หย่อน ไม่น้อยเกินไป ก็มากเกินไป ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น แม้ว่าจะรู้ว่าทางสายกลางคืออะไร แต่ถ้าหากว่ายังไม่รู้จักความพอดีก็พาหลงทิศหลงทางหรือว่าเข้ารกเข้าพงได้ 
6/19/202428 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25670330pm--ทำความทุกข์ ให้พ้นจิตพ้นใจ

30 มี.ค. 67 - ทำความทุกข์ ให้พ้นจิตพ้นใจ : “เมื่อรู้ทันมัน มันก็ดับไป” อาการที่ดับไปบางทีเราก็เรียกว่าหลุดจากอารมณ์หรือว่าปล่อยวางจากอารมณ์นั้นได้ ปล่อยวางไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถจะปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ แล้วคราวนี้พอเราเห็นความคิดหรือเห็นอารมณ์อยู่เรื่อยๆ เห็นความคิดและอารมณ์อยู่เรื่อยๆ มันจะทำอะไรจิตใจเราได้น้อยลง มันจะเกิดภาวะที่เรียกว่าหลุดจากความทุกข์ หลุดจากอารมณ์   ที่เคยหนักอกหนักใจ มันก็จะไม่หนักอกหนักใจ ที่เคยหงุดหงิด รำคาญ เคียดแค้น จนจิตใจรุ่มร้อน มันก็จะเย็นขึ้น ก็ยังอยู่ที่เดิม ยังเจอกับลูกน้อง หรือว่าเจอกับเพื่อนร่วมงานคนเดิม หรือว่าเจอกับเพื่อนบ้านคนเดิม แต่ว่าใจมันไม่ทุกข์เหมือนก่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องไปจัดการกับคนเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องหาทางเอาคนเหล่านั้นให้มันหลุดออกไปจากชีวิต หรือว่าพ้นหูพ้นตา   หลายคนคิดแค่นั้น ก็คือว่าทำยังไงก็ได้ให้มันพ้นหูพ้นตาเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ว่าที่จริงเรามีวิธีที่ดีกว่านั้นที่ทำได้ ก็คือว่าทำให้อารมณ์เหล่านั้นมันไม่ครอบงำใจ หรือทำให้อารมณ์ที่เคยทำความทุกข์ให้กับเรามันพ้นไปจากใจของเรา ไม่ใช่พ้นหูพ้นตา แต่ว่าทำให้พ้นจากใจ ซึ่งวิธีนี้ทำได้ง่ายกว่าเยอะ ถ้าเรามีสติ เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรกับใคร เราก็แค่มาทำให้ถูกต้องกับความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อันนี้คือสิ่งที่จะช่วยทำให้เรายังคงความปกติสุขอยู่ได้ 
6/18/202427 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25670329pm--กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์

29 มี.ค. 67 - กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์ : แต่พอใจนี้ยอมรับได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะไม่กลัวแล้ว จะตายก็ตาย ใจก็สงบ กายก็ค่อยๆ ดีขึ้น ยิ่งถ้าเกิดว่ารู้จักเจริญสตินะ สตินี้มันช่วยทำให้ความตื่นตระหนกมันบรรเทาเบาบางลง แล้วยิ่งถ้ารู้จักเอามาใช้ในการมองพิจารณาความเจ็บความปวดยิ่งมีประโยชน์นะ เวลามันหงุดหงิด โมโห เพราะความเจ็บความปวด เห็นมัน เห็นมันตื่นตระหนก อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่บ่อยๆ เห็นมันกลัว เห็นมันตื่นตระหนก เห็นมันผลักไส อันนี้เรียกว่า ‘เห็นจิต’ หรือว่าเอามาดูเวทนา เห็นมันปวด เห็นมันปวด พอเห็นมันปวดนี้ มันก็ไม่เกิด ‘ผู้ปวด’ ขึ้นมาแล้ว พอเห็นมันตื่นตระหนก ความเป็น ‘ผู้ตื่นตระหนก’ ก็จะหายไป จิตก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ   เห็นมันปวด การผลักไสความปวด หรือ การเข้าไปเป็นผู้ปวด ก็จะเบาบางลง พอไม่เป็นผู้ปวดแล้ว ไอ้ความทุกข์ใจมันก็น้อยลง ฉะนั้นถ้าเราเอาสติมาใช้นะกับใจ กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ใจนี้เป็นปกติได้ แล้วมันทำให้ยอมรับ ให้ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจ แม้กระทั่งเวลาใจตื่นตระหนกก็ยอมรับได้ว่า “เออ มันเป็นเช่นนั้นเอง”   บางทีเราไม่เพียงแต่ต้องรู้จักยอมรับความเจ็บความปวดเท่านั้น แต่ต้องยอมรับใจที่มันยังไม่สามารถจะยอมรับความเจ็บปวดได้ บางทีใจมันตื่นตระหนก นักปฏิบัติหลายคนก็ผิดหวัง ทำไมใจเราเป็นอย่างนี้ เราปฏิบัติมาตั้งนาน ทำไมใจเรายังตื่นตระหนก ทำไมใจเรายังว้าวุ่นฟุ้งซ่าน ทำไมใจของเรายังกระวนกระวาย ถ้ายอมรับอาการของใจไม่ได้ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่   แต่ถ้ายอมรับได้ว่า เออ ใจมันเป็นอย่างนี้ คุมไม่ได้ ความทุกข์ก็น้อยลง ความผิดหวังในตัวเองหรือในการปฏิบัติก็จะน้อยลง แล้วมันก็ทำให้ทุกข์น้อยลงไปด้วย ฉะนั้นการรู้จักยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มแต่ความเจ็บ ความปวด หรือยอมรับอาการตื่นตระหนกตกใจ ยอมรับอาการที่ใจมันไม่เป็นปกติ อันนี้จะช่วยทำให้ใจนี้กลับมาเป็นปกติ หรืออยู่กับความเจ็บความปวดได้ พูดง่ายๆ ก็คือว่า กายป่วย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ 
6/17/202427 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25670328pm--สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม

28 มี.ค. 67 - สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม : ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะเข้าถึงสัจธรรมความจริง ก็อย่าทิ้งธรรมะในระดับจริยธรรม ต้องฝึกด้วย จะเป็นบันได เป็นพื้นฐานให้เข้าถึงความจริงขั้นสูง และเช่นเดียวกัน เวลาเราทำความดีหรือปฏิบัติธรรมในระดับจริยธรรม ก็จำเป็นที่เราจะต้องมีความเข้าใจเรื่องสัจธรรมความจริงด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะท้อในการทำความดี ทำความดีไม่ตลอด เพราะฉะนั้น จริยธรรมกับสัจธรรม จึงเป็นของคู่กัน สัจธรรมเป็นตัวทำให้การปฏิบัติระดับจริยธรรมหรือการทำความดีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนำความสุขสวัสดีมาให้กับเราเป็นลำดับ   ขณะเดียวกัน เมื่อจะปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงสัจธรรมขั้นสูงแล้ว การปฏิบัติระดับจริยธรรมก็อย่าไปมอง อย่าไปดูแคลนว่าเป็นเรื่องต่ำ เพราะอันที่จริงก็เป็นพื้นฐานที่จะช่วยรองรับให้จิตใจของเราพัฒนา จนกระทั่งเข้าถึงภาวะที่ไม่มีตัวไม่มีตน หรือไม่มีความยึดถือในตัวตนได้ เรียกว่าเข้าสู่ภาวะที่เป็นปรมัตถ์ หรือเข้าใจเรื่องปรมัตถ์ได้อย่างแท้จริงซึ่งก็ทำให้พัฒนาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ 
6/16/202426 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670327pm--ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ

27 มี.ค. 67 - ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ : การที่คนเรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปคาดหวังกับสิ่งที่ควรอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปยังที่ควรจะเป็น แต่ไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ตรงนี้มันเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ แล้วสุดท้ายมันก็ไปคาดหวังกับตัวเองด้วย ไม่ได้คาดหวังคนอื่นอย่างเดียว คนที่มาเจริญสติ ปฏิบัติที่นี่หลายคน เขาก็รู้ ว่าความสงบเป็นสิ่งที่ดี แต่พอมาปฏิบัติก็คาดหวังว่าจิตจะต้องสงบ ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน แต่พอมีความคิดขึ้นมาก็ยอมรับไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจตัวเอง หรือบางครั้งมันมีจิตคิดในทางลบต่อผู้มีพระคุณ   หรือว่ามีอารมณ์บางอย่างซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น ความโลภ ความโกรธ ราคะ พอมันเกิดขึ้นมาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ความคิดแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สามารถยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้   แค่มีความฟุ้ง ความคิดมันผุดขึ้นมาเยอะแยะ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย เราอุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ความจริงกับความคาดหวังมันสวนทางกัน ในเมื่อยอมรับความจริงหรือความเป็นจริงไม่ได้ มันก็เลยเกิดความทุกข์ ทั้งที่ถ้าเกิดยอมรับความเป็นจริงได้ มันเกิดขึ้นก็แค่ยอมรับแล้วก็แค่รู้ แค่รู้เฉย ๆ การเจริญสติท่านก็สอนให้แค่รู้เฉย ๆ   หลวงพ่อคำเขียนเคยบอกว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง บางคนพอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง กับพ่อแม่ กับครูบาอาจารย์ เป็นทุกข์มากเลย อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะความเป็นจริงบางครั้งมันก็ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่ยอมรับ เราก็จะทุกข์มาก 
6/15/202428 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670326pm--ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น

26 มี.ค. 67 - ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น : ที่จริงแล้ว เพียงแค่ลิงคลายมือออก มันก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพอคลายมือออกมันก็จะดึงมือออกมาจากช่องเล็ก ๆ นั้นได้ แต่ลิงไม่ยอมคลาย มันกำแน่น เพราะอะไร เพราะมันหวงถั่วในมือของมัน จึงถูกจับได้ในที่สุดจะว่าไปแล้ว ชะตากรรมของลิงเหล่านี้ไม่ได้ต่างจากคนเราเลย จริงอยู่คนเราอาจไม่ได้กำอะไรที่มือ แต่ใจนั้นกำไว้แน่น พอกำไว้แน่น ความทุกข์จึงตามมา ที่จริงเพียงแค่คลายหรือปล่อย เราก็เป็นอิสระจากทุกข์ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่เหมือนกับลิง คือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย กำไว้อย่างนั้น ไม่ได้กำที่มือ แต่กำที่ใจ เรียกว่ายึดติด ความทุกข์ของคนเราเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความยึดติด เป็นเพราะใจเรากำไว้ไม่ยอมปล่อย ทุกข์กายนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ สารพัด เช่น อากาศร้อน อากาศหนาว เชื้อโรค อาหารเป็นพิษ มลภาวะ หรือภัยธรรมชาติ หรือมีคนมาทำร้าย แต่ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้ว สาเหตุมีอยู่ประการเดียว ถ้าสาวไปให้ถึงที่สุด ก็คือความยึดติด   หลวงพ่อชา สุภทฺโท สรุปไว้ดีมาก ท่านว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหลุด ทุกข์หยุดเพราะปล่อย” คนเราก็เหมือนกับลิง ถ้าลิงเพียงแค่คลายมือ ปล่อยถั่ว มันก็เป็นอิสระได้ แต่เพราะคนเราไม่ยอมปล่อย ทั้งที่สิ่งที่ยึดเอาไว้นั้นบางครั้งเป็นอดีตไปแล้ว 
6/14/202425 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670325pm--ความร้อนสอนธรรม

25 มี.ค. 67 - ความร้อนสอนธรรม : ความรู้สึกว่าร้อนเป็นเวทนา ในยามนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือทุกขเวทนา แต่ถ้าเกิดใจบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” อันนี้มันเจือไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ตรงนี้เป็นสังขารแล้ว เวทนาอย่างเดียวเราจะมองว่าเป็นสัญญาก็ได้ เวทนาก็ได้ สังขารก็ได้ มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าเวลาเรารู้สึกร้อน แล้วมันไม่ใช่แค่รู้สึกร้อน แต่ใจมันบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ตรงนี้มันแปลว่าไม่ใช่กายที่ร้อนอย่างเดียว ใจก็ร้อน ไม่ใช่กายที่ทุกข์อย่างเดียว ใจก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราปล่อยให้ใจทุกข์ มันก็เหมือนกับว่าทุกข์ 2 ชั้น หรือว่าร้อน 2 ต่อ ร้อนกายแล้วก็ร้อนใจ ถ้าร้อนแล้วมันทำให้ทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจตามไปด้วย   ในเมื่อจะร้อนทั้งที ก็ให้มันร้อนอย่างเดียวคือร้อนกายแต่ว่าใจอย่าร้อน ในเมื่อมันทุกข์ ก็ให้ทุกข์แค่กายแต่ว่าใจอย่าทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ แทนที่จะรู้สึกว่าร้อนเท่านั้น ใจมันก็บ่นว่าร้อน ร้อน มีความหงุดหงิด มีความไม่พอใจ   เราเห็นไหม เห็นใจที่มันบ่นไหม เห็นใจที่มันหงุดหงิดไหม เห็นใจที่มันโวยวายไหม ถ้าไม่เห็นนี้ขาดทุน เพราะถ้าไม่เห็น มันก็ทุกข์ 2 ต่อ ทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วย ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ และถ้าไม่เห็น ไม่เห็นว่าใจมันบ่น ใจมันโวยวายตีโพยตีพาย นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างสัญญา เวทนา และสังขาร ที่สำคัญก็คือ กลายเป็นทุกข์ฟรี ๆ 
6/13/202425 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670323pm--ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม

23 มี.ค. 67 - ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม : ที่จริงไม่ใช่เฉพาะสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเราก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นตัวขัดขวางการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างเช่นปฏิบัติธรรม เมื่อวานนี้เราปฏิบัติได้ดีมากใจสงบ มันรู้สึกตัวมากเลย แล้วเราก็เพลินหรือว่าเกิดความติดใจในภาวะอารมณ์แบบนั้น อยากให้มันเกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่พอทำวันนี้แล้วมันไม่ได้อย่างที่ เหมือนเมื่อวาน ก็เกิดความหงุดหงิดเกิดความไม่สบายใจ เกิดความไม่พอใจ บางคนทุกข์มากเลย ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่เป็นเพราะว่าไปติดใจกับอารมณ์การปฏิบัติของเมื่อวาน แล้วก็อยากให้มันเกิดขึ้นในวันนี้ ความอยากให้มันเกิดขึ้นวันนี้อย่างที่เป็นเมื่อวาน มันก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว ถ้ายังอยู่กับปัจจุบันมันก็ต้องวางให้หมด เมื่อวานนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของเมื่อวาน วันนี้เราจะอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเราก็จะพบว่าถ้าเราวางเหตุการณ์ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้ 
6/12/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670322pm-จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล

22 มี.ค. 67 - จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล : ปกติเราชอบมองออกไปข้างนอก แล้วเราส่งจิตออกนอก ซึ่งก็ทำให้เราเผลอปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เล่นงานจิตใจ เผาลนจิตใจด้วยความโกรธ กรีดแทงใจด้วยความเกลียด หรือหนักอกหนักใจเพราะแบกโน่นแบกนี่ เพราะเราไม่รู้จักมีสติเห็นใจของตัว เพราะมัวแต่ส่งออกนอก เราต้องหันกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอซึ่งจะทำได้นี้มันก็ต้องทำเป็นนิสัย แล้วนิสัยจะเกิดขึ้นได้ต้องทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ และไม่ใช่แค่ปฏิบัติที่นี่ กลับไปบ้านเราก็ปฏิบัติได้ เช่น เวลาเก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า แทนที่จะปล่อยใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ก็กลับมารู้สึกตัว หรือว่าฝึกใจให้เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น ขณะที่ทำนั่นทำนี่ รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง หมายถึงรู้ความคิดว่ามันเผลอคิดไป รู้แล้วก็วาง วาง ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ แม้กระทั่งเวลากินข้าว เราก็มีสติกับการกินข้าว ไม่ใช่ปากเคี้ยวแต่ใจไม่รู้ คิดไปโน่นคิดไปนี่ แต่ถึงคิดไปก็พาใจกลับมาบ่อยๆ   อันนี้จะเป็นการสร้างนิสัยใหม่ที่จะทำให้เรานี้มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แล้วก็จะช่วยให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเล่นงานจิตใจ สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้น้อยลง แล้วตรงนี้ที่มันจะช่วยให้เรารู้จักสลัดความคิด สลัดอารมณ์ หรือปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางความทุกข์ออกไปจากใจได้เร็ว   ฉะนั้นถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็เรียกว่าเรามีจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว และอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้” หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่พาเอาทุกข์มาทับถมใจของเรา ฝึกจิตเอาไว้ให้ดีก็จะมีความสุขหรือความปกติเป็นรางวัล 
6/11/202428 minutes, 8 seconds
Episode Artwork

25670321pm--มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์

21 มี.ค. 67 - มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์ 
6/9/202426 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670315pm-- รักษาใจให้ไกลทุกข์

15 มี.ค. 67 - รักษาใจให้ไกลทุกข์ 
6/8/202459 minutes, 24 seconds
Episode Artwork

25670313pm--เสียคนเพราะหลงตัวกู

13 มี.ค. 67 - เสียคนเพราะหลงตัวกู : การลดความยึดว่าเป็นของกูและตัวกู มันทำได้เยอะเลย แม้กระทั่งการให้ทาน การสละสิ่งของที่เรารัก สิ่งของที่มีค่า ก็เป็นการลดความยึดในของกู หรือการทำใจเป็นกลาง เวลาความคิดของตนไม่มีคนเห็นด้วย เวลาความคิดที่เราพูดไปมีคนแย้ง ก็ถือว่าดี ถือว่ามันได้มาช่วยขัดเกลาความยึดมั่นในของกู สังเกตใจของตัวไปด้วย เวลาคนเขาแย้งความเห็นของเรา ใจมันกระเพื่อม ใจมันไม่พอใจหรือเปล่า อันนี้แสดงว่าเรายังมีความยึดในความคิดความเห็นอยู่ เรียกว่าที่ทิฏฐุปาทาน ยึดในสิ่งของทรัพย์สมบัติ เรียกว่ากามุปาทาน ถ้ายึดในตัวกู หรือยึดในความเชื่อว่ามีตัวกู หรือความยึดมั่นว่าตัวกู เรียกว่าอัตตวาทุปาทาน ตัวนี้ไถ่ถอนยากที่สุด แล้วถ้าเราไม่ลดมัน นอกจากเราจะไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่างตัวอย่างที่เล่ามา ถึงขั้นไปทำร้ายคนที่เรารัก หรือคนที่เราไม่รู้จัก   บางทีเราเองนั่นแหละจะทุกข์เอง ทุกข์เพราะยึดอะไรต่ออะไรว่าเป็นของกู ยึดว่าความทุกข์เป็นกู ยึดว่าความทุกข์เป็นของกู สิ่งที่ไม่ดี ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บความปวดนี่ไม่ดี แต่ทำไมเราไปยึดว่าเป็นของกู ความโกรธเป็นกู ความปวดเป็นของกู แล้วยิ่งยึดว่าเป็นของกู หรือเกิดกูผู้ปวดขึ้นมา เกิดกูผู้ทุกข์ขึ้นมา มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย 
6/7/202427 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25670310pm--อย่าปล่อยให้เสียงในหัวรบกวนใจ

10 มี.ค. 67 - อย่าปล่อยให้เสียงในหัวรบกวนใจ : ปัญหาของจำนวนมากคือ พอมาพบธรรมะ บางทีก็ ติดดี ติดดีก็เลยยอมรับไม่ได้ว่า สมัยก่อน ตอนที่ยังเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เราไม่มีศีล เราไม่มีธรรม รู้สึกละอายตัวเอง จนกระทั่งเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่เป็นโทษของการมีธรรมะ แต่เป็นเพราะติดดีมากกว่า วางใจไม่เป็น ถ้าวางใจเป็นมันก็จะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับตัวเองสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ก็ถือว่า เออ เรายังไม่มีประสบการณ์ เรายังอ่อนต่อโลก เราก็เลยพลั้งเผลอไป แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แล้ว เราพบว่าอะไรเป็นคุณค่าของชีวิตแล้ว ก็น่าจะยินดีที่เรามืดมา สว่างไป ไม่ใช่พอสว่างไปแล้วก็มาโทษว่าทำไมตอนเด็กมันมืดอย่างนั้น น่าจะยินดีที่ตอนนี้เราพบทางสว่างแล้ว   ถ้าเราวางใจให้เป็น คำว่า "ไม่น่าจะ" "ไม่น่าเลย" หรือ "น่าจะ" มันจะไม่รบกวนจิตใจเรา เราจะไม่เอาคำนี้มาใช้ในทางที่ผิด คือเอามาใช้กับเหตุการณ์ในอดีต แต่เราจะเอามาใช้กับสิ่งที่เราจะทำในวันข้างหน้า หรือกำลังจะทำในวันนี้ต่างหาก และนี่คือสิ่งที่ควรทำ 
5/26/202427 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670309pm--มงคลสูงสูดของชีวิต

9 มี.ค. 67 - มงคลสูงสูดของชีวิต : เมื่อเจอโลกธรรม จิตใจไม่หวั่นไหว มันทำได้ ที่จริงแล้วไม่ใช่โลกธรรมฝ่ายลบ โลกธรรมฝ่ายบวกก็เหมือนกัน เมื่อมันเกิดขึ้นก็อย่าไปเพลิดเพลินยินดีกับมัน ใครชมก็อย่าไปเคลิ้มคล้อย เวลาได้อะไรก็อย่าไปหลงใหลเพลิดเพลิน เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เที่ยง คำชมเมื่อสูญไป หรือมีคำด่ามาแทนที่ ถ้าเราดีใจในคำชม เราก็ทุกข์ในคำด่าว่า ถ้าเราเพลินในการมี ถึงเวลาเสีย เราก็ทุกข์ ถ้าจะให้จิตไม่หวั่นไหวเมื่อโลกธรรมฝ่ายลบ ก็อย่าไปยินดีเมื่อเจอโลกธรรมฝ่ายบวก เมื่อไม่ยินดีในโลกธรรมฝ่ายบวก ถ้ามันเปลี่ยนเป็นโลกธรรมฝ่ายลบ มันก็ไม่เกิดความยินร้าย นี่คือสิ่งที่เราฝึกได้ในชีวิตประจำวัน   ข้อสำคัญก็คือว่า เราต้องเอาสิ่งนี้เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต จิตของผู้ใดเมื่อโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว เป็นจิตไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ มงคลสูงสุดประการสุดท้ายควรจะเป็นจุดหมายสำคัญของชีวิต แล้วก็เป็นจุดหมายสำคัญของการปฏิบัติของเรา   ถ้ายังหวั่นไหวใจกระเพื่อมเพราะเจอโลกธรรมฝ่ายลบ แสดงว่าเรายังต้องฝึกต่อไป อย่าไปโทษคนนั้นคนนี้ แต่ให้รู้ว่า เป็นเพราะเรายังปฏิบัติได้ไม่ก้าวหน้าพอ แค่นี้มันก็ช่วยทำให้เราเกิดความเพียรในการปฏิบัติต่อไป แต่ถ้าเราไปโทษคนนั้นคนนี้ เราก็ไปไม่ถึงไหน 
5/25/202428 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25670308pm--ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า

8 มี.ค. 67 - ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า : ถ้าคนเราตระหนักว่า เวลาเราเหลือน้อย เราก็จะเห็นความสำคัญของการที่ไม่ไปเสียเวลามากกับเรื่องราวต่างๆ ที่มันไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว ซึ่งแต่ก่อนตอนที่เรายังหนุ่มยังสาว เราก็จะพลอยหงุดหงิดหัวเสียกับมัน รถติดบ้าง ซื้อของไม่ได้ตามหน้าปกบ้าง หรือว่าไปกินอาหารแล้วมันไม่อร่อยสมราคาบ้าง แล้วมาหงุดหงิดหัวเสีย หรือใครมาส่งเสียงดัง เช่น เพื่อนบ้าน ก็ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขา แล้วก็ไปหงุดหงิดหัวเสียจนนอนไม่หลับ นี่คือการปล่อยเวลาให้สูญไปอย่างไม่คุ้มค่า ถ้าในเมื่อเราต้องการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า มันก็ควรรู้จักปล่อยวางเรื่องพวกนี้ ไม่ยอมเสียเวลาที่มีน้อยลงไปทุกทีกับเรื่องพวกนี้ แต่ใช้เวลาในการทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล ใช้เวลาในการเปิดใจรับความสุข ชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ด้วยการทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ปฏิบัติธรรม ฝึกจิตฝึกใจ ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่เฉพาะวันหน้าแต่รวมถึงวันนี้ด้วย   เพราะถ้าเราฝึกปฏิบัติธรรมได้ดี เราจะปล่อยวางเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ง่าย ถึงแม้จะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เราก็มีความสุข อาจจะมีความสุขกว่าคนที่ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แต่ก็หัวเสียกลับมา เพราะไม่รู้จักปล่อยหรือไม่รู้จักวางใจ แต่ถึงแม้เราจะอยู่บ้าน แต่เราก็มีความสุขได้เพราะรู้จักวางใจ อันนี้เรียกว่า “ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า” เป็นการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ดีกว่าการ “ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า” อย่างที่พูดๆ กัน 
5/24/202429 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670307pm--ทำใจให้คุ้นกับความรู้สึกตัว

7 มี.ค. 67 - ทำใจให้คุ้นกับความรู้สึกตัว 
5/23/202428 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670306pm--สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยสติ

6 มี.ค. 67 - สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยสติ : แต่ถ้ามีสติ เจริญสติมันก็จะทำให้เกิดความสมดุล เวลาทำประโยชน์ตนมากเกินไป มันก็จะทักท้วงว่าให้รู้จักนึกถึงผู้อื่นบ้าง หรือเวลาทำอะไรเพื่อผู้อื่นก็มีสติ ไม่ทิ้งการรู้จักรักษาใจให้สงบ รู้จักการปล่อย การวาง อันนี้เรียกว่ามีความสมดุลระหว่างการทำกิจและการทำจิต ถ้าอยากให้ชีวิตเรามีความสมดุลในหลายระดับอย่างที่ว่ามานี้ มันไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่เจริญสติ ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ มันก็จะเกิดความเฉลียวใจว่าตอนนี้ชีวิตกำลังขาดความสมดุลไปแล้ว แล้วต้องกลับมาให้เกิดความสมดุลกับสิ่งที่ขาดไป   เพราะฉะนั้นการเจริญสตินั้นมันจึงเป็นการปฏิบัติที่คุ้มค่ามาก ทำอย่างเดียวแต่ได้ประโยชน์หลายอย่างทีเดียว แม้จะไม่ใช่ประโยชน์ที่เป็นตัวเงินทอง แต่มันก็ทำให้ชีวิตเราสามารถที่จะเดินหน้าไปสู่จุดหมายที่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นกุศล 
5/22/202429 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25670305pm--แค่ไม่ยุ่งก็ไม่ทุกข์

5 มี.ค. 67 - แค่ไม่ยุ่งก็ไม่ทุกข์ 
5/21/202428 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670304pm--เจออะไรก็อย่าลืมดูใจตน

4 มี.ค. 67 - เจออะไรก็อย่าลืมดูใจตน : ดังนั้นธรรมะสำคัญตรงนี้ ทำงานอะไรก็ตาม นอกจากความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต จะต้องมีสติ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อให้เราทำงานได้ดี ต่อเนื่อง ไม่เหยาะแหยะ แต่ยังช่วยทำให้เราสามารถเกี่ยวข้องกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย เกี่ยวข้องด้วยใจที่ไม่ทุกข์ ทำให้เราสามารถที่ประพฤติตนได้อย่างถูกต้อง ใครเขาจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เอาการกระทำของเขามาบั่นทอน ไม่ใช่แค่บั่นทอนความสุขของเรา แต่บั่นทอนความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของเราให้ถูก ให้ดี ซึ่งถ้าหากว่าเราจะทำได้ก็อาจจะต้องบอกเพื่อนๆ ว่าอย่าไปท้อแท้ เมื่อเจอเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายแบบนี้ เขาทำไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขา ข้อสำคัญก็คือเราต้องทำให้ถูก เขาไม่รับผิดชอบก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราก็ยังรับผิดชอบต่อไป ไม่ใช่ว่าพอเขาทำไม่ถูก เราก็เลยท้อแท้ แล้วก็เลยบกพร่องในหน้าที่ ปล่อยปละละเลย   ที่จริงอันนี้มันเป็นหน้าที่ที่จำเป็น แม้กระทั่งกับความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ระหว่างพ่อแม่ลูก พ่อแม่จะเป็นอย่างไร บกพร่องในหน้าที่อย่างไร แต่ลูกนี้ก็ไม่คับแค้น หรือไม่ละเลยในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง พ่อไม่ทำหน้าที่ ติดเหล้า แม่เล่นการพนัน แต่ลูกก็ยังมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ใช่พอเขาทำตัวไม่ถูกต้อง ลูกก็เลยเลิกเคารพนับถือพ่อแม่ ไม่สนใจที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณ อันนี้ก็ไม่ถูก 
5/20/202425 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25670227pm--สุขสุดท้ายที่ปลายทาง

27 ก.พ. 67 - สุขสุดท้ายที่ปลายทาง : เราทุกคนรู้ว่าสักวันหนึ่งตนเองต้องตาย แต่ส่วนใหญ่แล้วยากที่จะทำใจยอมรับได้ มองเห็นความตายเป็นสิ่งเลวร้ายน่ากลัว จึงมีชีวิตเหมือนคนลืมตาย พยายามทำตัวให้วุ่น ทำใจไม่ให้ว่าง จะได้ไม่ต้องนึกถึงความตาย แต่ในที่สุดก็หนีความตายไม่พ้น แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นก็ต้องประสบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเมื่อรู้ว่าความตายมาประชิดตัว เช่น พบว่าตนเองเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่ได้ ผลก็คืออยู่เหมือนตาย หรือรู้สึกตายทั้งเป็น เพราะไม่เคยเตรียมใจไว้เลย ครั้นถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป ก็มีอาการหลงตาย คือตายอย่างทุรนทุราย เป็นที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง ในเมื่อเราต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดีกว่าการยอมรับความตายและเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับความตายทุกขณะ ท่าทีดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้เราเผชิญความตายได้ด้วยใจสงบเท่านั้น หากยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราด้วย ทำให้ใฝ่ในการทำความดี หลีกหนีความชั่ว ไม่หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติและเกียรติยศชื่อเสียง เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว ไม่สามารถตามติดตัวไปได้เวลาตาย อีกทั้งไม่ช่วยให้จิตใจสงบเย็นได้เลยเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง การระลึกถึงความตายอยู่เสมอทำให้เราคลายความยึดติดทั้งสิ่งที่น่ายินดีและสิ่งที่ชวนยินร้าย (เช่น ความสูญเสีย ความบาดหมาง) จึงช่วยให้เรามีชีวิตที่ผาสุก โปร่งเบา และสงบเย็น กล่าวอีกนัยหนึ่งหากเรารู้วิธีตายดี ก็ย่อมรู้ว่าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร ในทางกลับกันการมีชีวิตที่ดีย่อมช่วยให้เราตายดีในที่สุด ชีวิตที่ผาสุกกับความตายที่สงบ หาได้แยกจากกันไม่ 
5/19/20241 hour, 10 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670224pm--คำสอนเพื่อชีวิตอันประเสริฐ

24 ก.พ. 67 - คำสอนเพื่อชีวิตอันประเสริฐ : เดี๋ยวนี้เขามีหนังสือพูดถึงฮาวทู (How to) มากมาย ฮาวทูประสบความสำเร็จ แต่ว่าหนังสือประเภทที่ว่าฮาวทูในยามล้มเหลวไม่ค่อยพูดถึง ฮาวทูให้ชีวิตมีแต่ไต่สู่ความสำเร็จพูดกันเยอะ แต่ไม่ได้พูดถึงเวลาไม่สำเร็จจะรักษาใจอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนใน “การทำจิตให้ยิ่ง” เราต้องรู้จักฝึกจิตให้สามารถยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นไปดั่งใจให้ได้ เพราะคือสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ก็คือสาระสำคัญของโอวาทปาติโมกข์อย่างที่อาตมาได้กล่าวไว้ นั่นก็คือแผนที่สู่ชีวิตอันประเสริฐ หรือว่าเป็นคำสอนเกี่ยวกับชีวิตอันประเสริฐ   ถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่ประเสริฐ ก็ต้องทำความเข้าใจ ธรรมทั้ง 6 ประการในโอวาทปาฎิโมกข์ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายแล้วก็นำมาปฏิบัติในชีวิตจริง เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจก็ไม่ได้ดีใจมาก เพราะว่าเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็จะไม่ได้เสียใจ หรือปล่อยจิตให้ตก   วันนี้เราก็จะมาเวียนเทียนหลังจากการฟังธรรม เวียนเทียนที่วันนี้ เราจะเวียนเทียนด้วยกล้าไม้จะไม่ได้เวียนเทียนด้วยดอกไม้ธูปเทียนเหมือนก่อน เพราะว่าอยากจะให้เราได้ไม่เพียงแต่ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย แต่ก็ให้สำนึกในบุญคุณของต้นไม้   เพราะว่าต้นไม้นี้มีส่วนในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์นี้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีตแล้วก็ในอนาคต ต้นมะม่วง ต้นมะพร้าว ต้นมะเดื่อ ต้นประดู่ ต้นสน หรือว่าต้นกากระทิง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เคยเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าในอดีตทรงประทับในคืนก่อนการตรัสรู้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ รวมทั้งพระศรีอาริย์ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็มีการพยากรณ์ว่า พระองค์จะตรัสรู้ใต้ต้นกากระทิง   ต้นไม้นี้มีความสำคัญมากต่อการตรัสรู้ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าในอดีตเท่านั้น รวมทั้งพระอรหันต์จำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้นเมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ขอให้ความระลึกถึงบุญคุณของต้นไม้ด้วย 
5/18/202439 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670223pm--เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์

23 ก.พ. 67 - เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ 
5/17/202427 minutes, 10 seconds
Episode Artwork

25670222pm--อย่าดูแคลนความเพียร

22 ก.พ. 67 - อย่าดูแคลนความเพียร : แล้วมันไม่ใช่แค่เห็นความคิด แต่มันรู้จักทักท้วงความคิดด้วย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดไว้ หน้าที่ของสติอันหนึ่ง คือ การทักท้วงความคิด ไม่ถูกความคิดหลอก ไม่หลงเชื่อความคิดไปอย่างตะพึดตะพือ และไม่ใช่แค่เห็นความคิดอย่างเดียว เห็นความทุกข์ที่เกาะกุมใจ จนกระทั่งสามารถสลัดมันหลุดออกไปได้ เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งไม่ไปข้องแวะกับมัน ฉะนั้นถ้าเราไม่ไปข้องแวะกับมัน มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับมีไฟ มีกองไฟกองใหญ่นี้ถ้าเราไม่ไปกระโจนเข้าไปอยู่กลางกองไฟ เราก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน กองไฟมีอยู่แต่เราอยู่ห่างมัน เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่ได้แปลว่าต้องไม่มีกองไฟแล้วถึงจะไม่ทุกข์ไม่ร้อน มีก็ได้แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ห่างจากมัน ก็ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด   อะไรทำให้ใจอยู่ห่างจากความโกรธ ความทุกข์ เหล่านั้นได้ ก็คือสติ ทำให้เกิดระยะห่าง ไม่ใช่ระยะห่างทางสังคมอย่างที่เรารู้จักในช่วงโควิด แต่มันเป็นระยะห่างทางจิตใจซึ่งเราจำเป็นต้องมี แต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสติ มีความรู้สึกตัว   การมีสติ การมีความรู้สึกตัว จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเกิดจากการปฏิบัติบ่อยๆ ปฏิบัติซ้ำๆ ปฏิบัติไม่หยุด แม้จะได้ผลทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเราไม่ไปดูถูกผลเล็กผลน้อยนั้น ทำความเพียรไม่หยุด มันก็จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน 
5/16/202429 minutes, 12 seconds
Episode Artwork

25670221pm--สร้างพื้นที่สงบเย็นให้ชีวิต

21 ก.พ. 67 - สร้างพื้นที่สงบเย็นให้ชีวิต : การนึกขึ้นมาได้ตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเราทำให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ความระลึกได้มันจะไวขึ้น ไวขึ้น นั่นแปลว่าสติพัฒนาแล้ว สิ่งที่เรามาฝึกก็คือทำให้มันรู้ทันได้ไว ได้เร็วขึ้น แล้วทำอย่างไรจะให้มันรู้ทันได้เร็ว มันก็มีวิธีเดียว คือทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันไม่มีวิธีอื่น แล้วก็ต้องให้เวลาในการปฏิบัติ แต่ว่าเราก็มีตัวช่วย เช่นการที่เราปฏิบัติเต็มที่ ไม่มีการพูดคุยกัน ไม่ใช้โทรศัพท์ เพราะถ้าเราเกิดพูดคุยกัน ไถโทรศัพท์ ความคิดมันจะฟุ้งง่าย สติมันจะรู้ทันได้ช้า เราก็มีวิธีการตัวช่วยทำให้ความคิดมันไม่รุนแรง แล้วขณะเดียวกันก็ระหว่างที่ใจไม่คิด ก็หางานให้จิตทำด้วยการมารู้กาย การรู้กายนี้สำคัญ รู้ว่ากำลังเดินอยู่ รู้ว่ากำลังยกมือ อันนี้เรารู้กายหรือรู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว ซึ่งก็เป็นการหางานให้จิตทำ เพราะถ้าไม่หางานให้จิตทำ จิตมันก็จะเพ่นพ่าน แล้วมันก็จะฟุ้งมากเลย   แม้เราจะไม่ห้ามคิด แต่เราก็ไม่ส่งเสริมให้มันคิดจนฟุ้ง เราก็เลยมีตัวช่วยด้วยการหางานให้จิตทำ ด้วยการให้จิตนี้มาอยู่กับกาย มารับรู้การเคลื่อนไหว ซึ่งถ้าทำได้บ่อยๆ ทำได้บ่อยๆ สติมันจะมีความสามารถในการรู้ทันความคิดและอารมณ์ได้เร็วขึ้น เป็นตัวช่วย แต่ว่าเราจะมาเร่งมันไม่ได้ เราไม่สามารถจะเร่งมันได้ นอกจากเราจะทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ สติมันจึงจะไว แล้วก็จะรู้ทันความคิดได้เร็ว   พอรู้ทันความคิดได้เร็ว การปล่อยการวางความคิดและอารมณ์ก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย แล้วเราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ เป็นทาสของความคิด ที่มันคอยเอาความทุกข์มาให้เรา มันเป็นวิธีการฝึกจิตให้มีคุณภาพ ให้เป็นมิตรกับเรา แทนที่จะเป็นศัตรูกับเรา มันเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้เรารักตัวเองอย่างแท้จริง แทนที่จะรักตัวกูหรือว่ารักกิเลส จนถูกกิเลสมอมเมาหลอกให้หลง แล้วก็สร้างความทุกข์ 
5/15/202429 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25670220pm--รักตัวเอง อย่ารักตัวกู

20 ก.พ. 67 - รักตัวเอง อย่ารักตัวกู : ถ้าเรารู้จักรักตัวเองอย่างแท้จริง มันจะเกิดความสุขความสงบในจิตใจได้ง่าย เพราะจะไม่ไปคว้าเอาความทุกข์มาทิ่มแทงรบกวนรังควานจิตใจ และขณะเดียวกันเราก็จะมีความสุขความสงบได้ง่ายเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับตัวเองก็ไม่มีอาการดิ้นรนพลุ่งพล่าน กระสับกระส่าย งุ่นง่าน อยู่กับตัวเองก็คือ อยู่กับความรู้สึกตัว อยู่กับลมหายใจก็มีความสุขได้ อยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวเล่นกินดื่มชอป หรือไปคลุกคลีกับใคร ช่วงโควิดหลายคนเป็นทุกข์มากทั้งๆ ที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องงานการ กินอิ่มนอนอุ่น แต่ทุกข์เพราะไม่ได้ออกไปไหน ทั้งที่มีโทรศัพท์ มีโทรทัศน์ดู จะดูฟังเพลงเท่าไหร่ก็ได้ แต่ก็ยังหงุดหงิด หรือเหงา หรือเป็นทุกข์   เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะไม่ได้เสพสิ่งใหม่ ไม่ได้หนีออกจากตัวเองอย่างที่ต้องการ เพราะตัวกูมันต้องการสิ่งปรนเปรอ สิ่งใหม่ๆ แต่พอไม่ได้รับการปรนเปรอ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันก็สร้างความปั่นป่วนขึ้นมาในจิตใจ เราอย่าปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือใจเรา แม้มันจะป่วนอย่างไรก็รู้ทัน ไม่ไปตามใจมัน เหมือนกับเด็กน้อย แม้ว่าจะร้องยังไง เราก็ไม่ยอมทำตามความต้องการของเขา   และจริงๆแล้วคือ ไม่เอาความทุกข์ของตัวกูมาเป็นความทุกข์ในใจเรา ต้องแยกแยะให้ออกระหว่างความทุกข์ของอัตตา ความทุกข์ของตัวกู มันทุกข์ก็ทุกข์ไป อย่างเช่นเวลามีคนมาต่อว่า มีคนมาตำหนิ มีคนมาทักท้วง หรือแม้มีคนไม่สรรเสริญ ตัวกูมันก็จะเกิดอาการโวยวายขึ้นมา ก็ให้รู้ว่าที่ทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ แต่ตัวมันทุกข์ เพียงแค่ไม่มีใครชมมันก็ทุกข์แล้ว เราอย่าเอาความทุกข์ของมันมาเป็นความทุกข์ของเรา มันทุกข์ก็ทุกข์ไป เหมือนมันโกรธก็โกรธไป แต่เราไม่ได้โกรธด้วย   ทำอย่างนั้นได้เพราะเราเห็นมัน มันโกรธก็โกรธไป แต่ใจไม่ทุกข์ มันจะง่วงมันจะเบื่อยังไงก็เห็นมัน แต่ไม่เข้าไปเป็นมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ใจเราก็จะเป็นสุขได้ง่าย ไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของตัวกู แล้วเราก็จะพัฒนาจากที่เคยรักตัวกู รักตัวกูจนชีวิตย่ำแย่ กลายเป็นรักตัวเองอย่างแท้จริง   แล้วพอรักตัวเองอย่างแท้จริง การรักคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกพ่อแม่คนรักก็จะกลายเป็นรักที่แท้จริง เริ่มจากการรักตัวเองให้ได้ รักตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งที่ผู้คนทุกวันนี้ขาดไปคือการรักตัวเอง 
5/13/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670215pm-ตีความสัญญาณผิดชีวิตเป็นทุกข์

15 ก.พ. 67 - ตีความสัญญาณผิดชีวิตเป็นทุกข์ : กับเพื่อนร่วมงานเราก็เหมือนกัน ถ้าเขาโวยวายใส่เราก็อย่าไปคิดว่าเขาไม่พอใจอะไรเรา แต่อาจจะเป็นอาการที่สะท้อนมาจากความเครียดในเรื่องส่วนตัว ความทุกข์เรื่องส่วนตัว อันนี้คือสัญญาณเหมือนกันที่เราต้องตีความให้ถูก ถ้าเราตีความไม่ถูกก็เกิดปัญหา หรือเจ้าตัวเองก็ต้องตีความ หรือรู้จักดักฟังสัญญาณที่ตัวเองได้แสดงออกมา เพราะบางครั้งถ้าเราตีความผิดก็ทำให้ปัญหามันสะสมหมักหมม จนกระทั่งระเบิดออกมากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียหายมากมาย แต่ถ้าจับสัญญาณถูกเราก็สามารถจะหาทางแก้ไขได้ เช่น พักผ่อนหรือว่ามาเยียวยาจิตใจ มาฝึกสติ มาพักใจ   ที่จริงร่างกายของเราจิตใจของเรามันส่งสัญญาณอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะเราไม่ใส่ใจหรือเราตีความผิด มันก็เลยทำให้ปัญหาสะสมหมักหมมมากขึ้น และสัญญาณก็มีอยู่รอบตัว ทั้งจากคนอื่นด้วย ตีความไม่ถูกก็เหมือนกับหมาที่มันเห่าใส่เรา ไม่ใช่ว่ามันไม่ชอบเรา แต่มันแค่ส่งสัญญาณไปให้เจ้านายที่อยู่ข้างหลัง อยู่ในบ้านว่ามีคนมา   ถ้าเราตีความสัญญาณของหมาผิดแล้วก็เกลียดหมา บางทีเอาก้อนหินขว้างหมาก็กลายเป็นเรื่องบาดหมาง เจ้าของหมาก็ไม่ชอบเรา หมาก็ยิ่งเกลียดเราเข้าไปใหญ่ 
5/12/202426 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25670214pm--รักอย่างไรให้เกิดสุข

14 ก.พ. 67 - รักอย่างไรให้เกิดสุข : เพราะว่าไม่เข้าใจไม่แยกแยะระหว่างความรักกับความใคร่ และไม่ตระหนักว่ามันเป็นของไม่เที่ยงเลย โดยเฉพาะไอ้ความใคร่มันจืดจางได้เร็วมาก ในขณะที่ความเมตตามันยั่งยืนกว่า โดยเฉพาะถ้าไม่มีตัวกูเป็นศูนย์กลาง หรือไม่ได้เอาตัวกูเป็นศูนย์กลางแล้ว มันจะยั่งยืนกว่า เพราะมันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข หรือไม่เรียกร้องเงื่อนไขจากอีกฝ่าย ให้เรารู้จักความรักประเภทแรกให้เยอะๆ แล้วก็เห็นโทษของความรักประเภทที่สองว่า แม้มันจะทำให้ชีวิตนี้มีรสมีชาติหวานชื่น แต่ว่ามันก็สามารถจะกลายเป็นความขื่นขมได้อย่างรวดเร็ว สามารถจะทำร้ายชีวิตของเรา หรือทำให้ชีวิตของเราจมอยู่ในความทุกข์ได้ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน เราจะปฏิเสธมันได้ยาก เพราะเราเป็นปุถุชน แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน แล้วก็มีธรรมะมากำกับ มันก็ช่วยทำให้ความรักประเภทนี้ไม่ทำร้ายเราและคนอื่นจนกระทั่งย่ำแย่ไป 
5/11/202430 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25670213pm--ทุกข์เพราะได้น้อยกว่าความคาดหวัง

13 ก.พ. 67 - ทุกข์เพราะได้น้อยกว่าความคาดหวัง : ถ้าเรารู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง มันก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่คนเรามันก็ยากที่จะไม่มีความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือนักปฏิบัติธรรม แต่อย่างน้อยให้รู้เท่าทัน รู้เท่าทันว่าเรามีความคาดหวัง แล้วก็พยายามลดความคาดหวังให้น้อยลง ความสุขมันไม่ยาก ถ้าหากว่าเราลดความคาดหวังลง แล้วยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อยากจะเห็นสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปดั่งใจ เราไม่สามารถยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นได้ ถ้าหากว่าเรามีความคาดหวัง แล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่ถ้าเรารู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เจออะไร ใจก็ไม่ทุกข์ เสียงดังใจก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ายอมรับมันได้   เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยากจะรักษาใจให้มีความทุกข์น้อยลง ก็ลดความคาดหวังไม่ว่าจากผู้คน ไม่ว่าจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจากสถานที่ แล้วก็เรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น   พรุ่งนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ หลายคนรอคอยวันพรุ่งนี้ด้วยใจจดใจจ่อโดยเฉพาะหนุ่มสาว แต่ก็คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ห่อเหี่ยวเสียใจ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่คาดหวังว่าจะได้ หรือสิ่งที่ได้รับมันน้อยกว่าที่คาดหวัง บางคนอยากจะได้กุหลาบเป็นช่อเลย แต่พอได้แค่ 3-4 ดอก ทุกข์เลย อยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ มีความคาดหวังจากคนนั้นคนนี้ ได้เหมือนกัน แต่พอมันได้น้อยกว่าที่คาดหวัง ทุกข์เลย   เหมือนกับที่หลายคนทุกข์ทั้งที่ได้อั่งเปา ไม่ใช่เพราะได้น้อยแต่เพราะคาดหวังมาก แล้วพรุ่งนี้ก็จะมีคนที่ได้เหมือนกัน ได้สิ่งดีๆ จากคู่รัก แต่ก็ยังทุกข์เพราะอะไร เพราะมันน้อยกว่าที่คาดหวัง อันนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แต่ถ้าคนที่ฉลาดเขาไม่ทุกข์ง่ายๆ เพราะเขาแค่ลดความคาดหวังลง ได้อะไรก็ถือว่าดีทั้งนั้น 
5/10/202427 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670212pm--ทำง่ายแต่ได้ผลมาก

12 ก.พ. 67 - ทำง่ายแต่ได้ผลมาก : การปฏิบัติงานเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนมันไม่ต้องใช้เงิน จะเป็นคนยากคนจน คนรวย จะจบ ป. 4 หรือปริญญาเอก มันก็ไม่เกี่ยว ขอให้ปฏิบัติให้ถูก อย่างที่ท่านว่าทำเล่น ๆ แต่ว่ากลับมามีสติ กลับมารู้สึกตัว มันจะไปบ่อยแค่ไหนก็ช่างมัน แต่ให้กลับมาก็แล้วกัน หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า มันเก่งตรงที่กลับมา ไม่ใช่ไม่ไป มันจะไปก็ช่างมันแต่ว่ากลับมา กลับมาไว ๆ คือสิ่งที่วัดความเจริญก้าวหน้า ทำเล่น ๆ และก็ทำจริง ๆ ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัวกับทุกอย่างที่ทำ ทีแรกก็รู้กายก่อน ต่อไปมันก็จะเห็นความคิด เห็นใจเคลื่อนไหว ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ไม่ได้ยากอะไรเลย จะว่าไปแล้วเป็นวิธีที่ง่ายแต่ว่าให้ผลเร็วแล้วก็ให้ผล เห็นผลได้เยอะ 
5/9/202428 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670211pm--ทำดีดีกว่าการเป็นคนดี

11 ก.พ. 67 - ทำดีดีกว่าการเป็นคนดี : ทำดีแล้วไม่มีคนเห็นก็ทุกข์เหมือนกัน หรือว่าทำดีแล้วมีคนเขาไม่เข้าใจ เขาต่อว่า เวลาเรารู้สึกว่าเราทนคำต่อว่าไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเราติดดี ติดดีคือคิดว่าฉันต้องดี คนต้องเห็นว่าฉันดีด้วย พอเขาเห็นว่าฉันไม่ดี ก็รู้สึกว่าอัตตาถูกกระทบ อย่าว่าแต่คำต่อว่าเลย แค่คำแนะนำ มันก็ทำให้เราเจ็บปวดถ้าเราไปสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นคนดี คนเก่ง ทุกข์ของคนเก่งก็เป็นแบบนี้ ทุกข์ของคนดีก็เหมือนกัน ทนคำวิจารณ์ไม่ได้ ทนคำต่อว่าไม่ได้ เพราะมันไปกระทบกระแทกอัตตา อัตตานี้มันต้องการให้คนเห็นว่ากูดี กูเก่ง พอเขาไม่เห็นว่าดี ก็ทุกข์ พอคนตำหนิก็เจ็บปวด โกรธเขา แทนที่จะน้อมรับแล้วนำมาปรับตัวแก้ไข หรือขอบคุณเขา   ที่สำคัญคือ เวลาเห็นว่าใครดีกว่าก็ไม่พอใจเขา คนดีเวลาเห็นใครดีกว่านี้ ไม่พอใจ เพราะมันไปทำให้เรารู้สึกว่าเราดีน้อยลง เกิดการเปรียบเทียบ อันนี้เป็นผลของมัน ความสำคัญตัวว่าเป็นคนดีมันถึงน่ากลัว มันสามารถทำให้เราทุกข์ได้ง่าย แล้วก็ทำให้เกิดความอิจฉาคนที่เขาดีกว่า   มันมีคำพูดว่า ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย คนไทยนับถือคตินี้มาก ใครดีกว่าไม่ได้ ก็จะอิจฉาเขา คนเลยไม่กล้าทำความดี เพราะดีแล้วจะถูกหมั่นไส้ คนที่หมั่นไส้ก็ไม่ใช่ใคร ก็คนที่อยากจะดีเหมือนกัน หรือคนที่คิดว่าฉันก็เป็นคนดี   เพราะฉะนั้นเป็นคนดีมันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ หรือไม่อยากไปเบียดเบียนใคร ก็อย่าไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นคนดี แต่พยายามทำความดีเอาไว้เยอะๆ “ทำดี ดีกว่าเป็นคนดี 
5/8/202429 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670210pm--กลับมาสู่ความไม่ทุกข์

10 ก.พ. 67 - กลับมาสู่ความไม่ทุกข์ : คนสมัยก่อนเจ้าบทเจ้ากลอนมาก ท่านแสดงธรรมมีคำลงท้ายเป็นกลอนไปว่า “พายเถอะหนาพ่อพาย ตะวันจะสายตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า” หมายความคือ ให้รีบตื่น แล้วก็รีบทำงานทำการ อย่าปล่อยเวลาผัดผ่อนให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ พูดง่ายๆก็คือ เวลาไม่คอยท่า ปล่อยให้หลวงพ่อโตจะเทศน์แก้เทศน์ต่อยังไง ท่านเจ้าคุณธรรมอุดมท่านเทศน์ทิ้งไว้อย่างนั้น หลวงพ่อโตท่านก็ไว ท่านได้วิสัชนาออกไปว่า “ก็โซ่ไม่แก้ประแจไม่ไข จะพายไปไหวหรือพ่อเจ้า” จะไปข้างหน้าได้ยังไง ถ้าโซ่ยังไม่แก้ ประแจยังไม่ไข เรือจะไปข้างหน้าได้มันต้องแก้โซ่ไขประแจก่อน ความหมายก็คือว่า คนเราจะไปข้างหน้าได้มันต้องปลดเปลื้องใจออกจากอดีต เพราะอดีตมันเป็นพันธนาการ   ผู้คนจำนวนมากไปต่อไม่ได้เพราะว่าไม่ยอมกลับมา ไม่ยอมกลับมายังปัจจุบัน ยังไปหลงในอดีต หรือว่ายังไหลไปอนาคต ไหลไปอนาคต คือกังวลวิตกกับเรื่องในอนาคต หรือไม่ก็เศร้าซึมกับเรื่องราวในอดีต ต้องกลับมา กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ถึงจะไปต่อได้   สมัยนี้เราคิดแต่จะไปข้างหน้า ไปข้างหน้าท่าเดียวจนกระทั่งไม่รู้จักกลับมา ไม่รู้จักกลับมาที่ใจ ไม่รู้จักกลับมาที่ความรู้สึกตัว ไม่รู้จักกลับมา รู้กาย ตามมาดูรู้ใจของตัว พอไม่สนใจตามดูรู้ใจ หรือไม่กลับมารู้สึกตัว มันอยากจะไปต่อก็ไปไม่ได้ เพราะยังมีความทุกข์ พูดง่ายๆว่า อยากจะไม่ทุกข์เราต้องกลับมา กลับมารู้สึกตัว กลับมาอยู่กับความไม่ทุกข์ แล้วจึงจะไปต่อได้ 
5/7/202428 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25670209pm--อะไรมากระทบอารมณ์_ก็ไม่กระฉอก

9 ก.พ. 67 - อะไรมากระทบอารมณ์ ก็ไม่กระฉอก : การที่เรารู้ทัน ใจเวลามันมีการกระทบ มีผัสสะ แล้วมันมีการปรุงแต่ง มันก็ช่วยทำให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งก็ช่วยทำให้เวลาเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แม้จะสงบหรือว่าแม้จะราบรื่นเพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้ทันการปรุงแต่ง มันก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ เกิดความอ้างว้าง เกิดความสับสน หรือว่าฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ นี่เพราะขาดสติทั้งนั้น ฉะนั้นการเก็บกดอดกลั้นหรือขันติ ก็สำคัญ อันนี้ก็เป็นวิธีการในการที่เราจะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจนบานปลาย หรือที่เขาใช้คำว่าระเบิดออกมา แต่ก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักมีสติด้วย มีสติที่จะช่วยให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ หรือถึงแม้จะเกิดอารมณ์ที่เป็นลบก็รู้จักวางได้   เพราะว่าคนเราปุถุชน อารมณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อมีการกระทบเพราะว่าไม่ทันการปรุงแต่ง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ยังปล่อยหรือวางได้ มีความโกรธก็รู้ทันแล้วก็วาง มีความโมโหเกิดขึ้นแล้วก็รู้ทัน มีความเศร้าเกิดขึ้นก็รู้ทัน มีความเครียดเกิดขึ้น รู้ทัน วาง มันก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บกด เพราะมันไม่มีอารมณ์ใดที่หลงเหลือ ไม่จำเป็นต้องมีเกราะที่จะป้องกันไม่ให้มีอารมณ์มากระทบ เพราะว่าอารมณ์มันก็เลือนหายไปเมื่อเราปล่อยเราวาง 
5/6/202426 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670208pm--เป็นคนดียังไม่พอหรือ

8 ก.พ. 67 - เป็นคนดียังไม่พอหรือ
5/5/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670201pm--ความกลัวคือตัวเพิ่มทุกข์

1 ก.พ. 67 - ความกลัวคือตัวเพิ่มทุกข์ : มีสติมากขึ้น ก็มารู้ใจ คือมาเห็นความกลัว เห็นความเครียด เห็นความวิตกที่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดยังเห็นไม่ทัน ไม่รู้จะเห็นยังไง ไม่รู้ว่าจะรู้ทันยังไง ก็เอาแค่ยอมรับมันเสียก่อน ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาที่จะมีความวิตกกังวล เหมือนแม่ที่ย่อมวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพลูกในท้อง ก็แค่ยอมรับว่ามันมีความรู้สึกนี้ในใจ ไม่ต้องไปกดข่มผลักไสมัน หรือยอมรับเป็นเรื่องธรรมดา อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้มีวิตกกังวลตัวที่สอง ซึ่งเกิดจากการไม่ยอมรับมัน ไม่ยอมรับความวิตกกังวล ที่ว่าเกิดความกังวลตัวที่สอง มันเป็นความกังวลที่เรา “ทำไมไม่หายกังวลสักที” ทำไมเรายังมีความกังวลอยู่ เดี๋ยวลูกจะเป็นยังไง มันมีวิตกกังวลซ้อนวิตกกังวล   แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถทำให้วิตกกังวลตัวแรกหายไปได้ แต่อย่างน้อยเราก็ทำให้ไม่มีกังวลตัวที่สองเกิดขึ้นก็ด้วยการยอมรับ ยอมรับความกังวลตัวแรก แล้วถ้าทำได้ดี มีสติดี ความกังวลตัวแรกก็จะค่อยๆ เลือนหายไปเหมือนกัน ถ้าเรารู้ทันมัน หรือว่าเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปเผลอคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับภาพอนาคตในทางลบทางร้าย 
5/4/202428 minutes, 26 seconds
Episode Artwork

25670131pm--เห็นข้อดีจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น

31 ม.ค. 67 - เห็นข้อดีจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น : ถ้าเรารู้จักมองในแง่บวก มันก็จะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะแย่ แต่ขณะเดียวกันมันก็เตือนให้เรารู้จักมองในทางลบด้วย ไอ้ความคิดว่าบ้านพร้อมไหม้นี้จะว่าไปมันก็เป็นการมองในทางลบแบบหนึ่ง คือมองว่าไฟไหม้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันการมีชีวิตของเรา เราก็ไม่ได้มองบวกอย่างเดียว เรามองลบด้วย ก็คือว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตาย ครานี้เมื่อเรารู้แบบนี้หรือคิดได้แบบนี้ก็จะทำให้เกิดความไม่ประมาท มีชีวิตชนิดที่พร้อมตายทุกเมื่อ แล้วก็รวมไปถึงว่าจะมีข้าวของอะไร ก็มีแบบพร้อมที่จะหาย พร้อมที่จะเสียทุกเมื่อ ถ้าคิดแบบนี้ พอมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่าเตรียมใจไว้แล้ว 
4/30/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670130pm--ถอยออกมาจากอารมณ์

30 ม.ค. 67 - ถอยออกมาจากอารมณ์ : อารมณ์พวกนี้ บางอารมณ์มันปั่นหัวเราให้เราย่ำแย่ได้ อย่างอารมณ์โกรธหรือซึมเศร้า มันก็ปั่นหัวให้เราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อทำร้ายแม้กระทั่งผู้มีพระคุณ หรือถ้าซึมเศร้ามากๆ เสียใจมากๆ มันก็จะปั่นหัวเราให้เราทำร้ายตัวเองก็ได้ อาจจะเพื่อเอาชนะคนที่ทำให้เราเสียอกเสียใจ เป็นพ่อเป็นแม่หรือคู่รัก บางคนก็ใช้วิธีนี้แหละ อยากจะเอาชนะเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ก็ถูกอำนาจของความหลง ความเศร้า ความคับแค้น ทำร้ายตัวเอง เพื่อทำให้เขาเจ็บปวด จะได้เรียกว่ามีชัยชนะ คือคิดแต่จะเอาชนะ แต่สุดท้ายก็ทำร้ายตัวเอง อันนี้ก็เป็นอำนาจของความหลง ความโกรธ เพราะการไม่รู้จักยอม มีแต่จะเอาชนะ มันก็เลยเกิดความเสียหาย เกิดความพังพินาศ   แต่ถ้าเรารู้จักถอยออกมา เอาใจถอยออกมาจากอารมณ์ มันก็ไม่สามารถจะมีอิทธิพล บงการ ปั่นหัว ล่อหลอก ให้เราหลงกับอำนาจของมัน ก็เรียกว่าสามารถเป็นอิสระ และสิ่งที่ช่วยทำให้ใจสามารถทำให้ถอยออกมาจากอารมณ์ก็คือสติ ความรู้สึกตัว ไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ก็มีแต่จมอยู่ในอารมณ์ และอยู่ในอำนาจของมัน   เพราะฉะนั้นเราต้องฝึก ฝึกให้รู้จักถอยออกมาจากอารมณ์ หรือถ้าถอยออกมาได้ไม่ถนัด อย่างน้อยก็รู้จักถอยออกมาจากเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อทำให้เรารู้ว่าเราพลั้งเราเผลออย่างไรบ้าง เพราะถ้าไม่รู้จักถอยออกมาจากเหตุการณ์ ไม่รู้จักถอยออกมาจากวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหลง เราก็ไม่สามารถจะพาใจให้มีอิสระหรือมีชีวิตที่ผาสุกได้ 
4/29/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670129pm--รู้จักยอมบ้าง

29 ม.ค. 67 - รู้จักยอมบ้าง : การยอมมันเป็นวิธีของคนฉลาด คนที่มีปัญญา เพราะรู้ว่าถ้าไม่ยอมนี้อะไรจะเกิดขึ้น และมันไม่ใช่แค่ตัวเองที่เดือดร้อน ครอบครัวที่พามาด้วยนี้ก็จะเดือดร้อนไปด้วย ลูกก็ดี ภรรยาก็ดี หรือพ่อแม่ก็ดีอาจจะต้องมีอันเป็นไป เพียงเพราะตัวเองไม่ยอม ถามว่าทำไมไม่ยอม ก็เพราะ “กูถูกไง มึงผิด มึงต้องหลบให้กูต่างหาก” บางครั้งคนเราต้องรู้จักยอมแม้ว่าจะถูกหรือแม้ว่าจะเก่ง อย่าให้ความยึดมั่นถือมั่นในความเก่งหรือความถูกของตัว มันทำให้มองข้ามสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ของส่วนรวม หรือว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรือว่าสวัสดิภาพของคนที่เรารัก 
4/28/202425 minutes, 24 seconds
Episode Artwork

25670128pm--อุปสรรคของการเข้าถึงความจริง

28 ม.ค. 67 - อุปสรรคของการเข้าถึงความจริง : ความจริงก็คือเข้ามาเคาะประตู แต่ว่าใจไม่เปิด ใจไม่เปิดเพราะมีความเชื่อ หรือมีความคิดบางอย่าง ความคิดที่เป็นตัวปิดกั้นความจริง เหมือนกับพ่อที่ไม่ยอมเปิดประตูรับลูกที่ดั้นด้นมาจากแดนไกล สัจธรรมหรือความจริงมันแสดงต่อเราตลอดเวลาแต่ว่าใจเราไม่เปิดรับ เพราะว่าใจเรามีความคิดความเห็น ความเชื่อบางอย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แสดงตัวต่อเราตลอดเวลาแต่ว่าใจเราไม่ยอมรับ เพราะว่ามันมีความคิด ความเห็นว่าทุกอย่างมันเที่ยง ทุกอย่างเป็นสุข หรือว่ามันเป็นตัวเป็นตน ฉะนั้นความคิดมันก็ปิดบังความจริงได้ แล้วด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเป็นอุปสรรคสำคัญของการบรรลุธรรม 
4/27/202427 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670127pm--อย่าเอาความสำเร็จมาค้ำคอตัวเอง

27 ม.ค. 67 - อย่าเอาความสำเร็จมาค้ำคอตัวเอง : ถ้าเรามีความวางใจว่าเสร็จทุกวัน เราจะไม่เครียด ไม่ใช่ว่าเก็บงาน แบกงานไปปรุงแต่ง ไปหมกมุ่น ไปพะวง แม้กระทั่งถึงบ้านแล้วก็ยังวางใจไม่ได้ ยังคิดถึงงานจนกระทั่งไม่สนใจคนที่กำลังคุยอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือสามีภรรยา หรือเป็นลูกก็ตาม ถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ อันนี้เพราะว่าไม่รู้จักวาง ท่านพุทธทาสท่านพูดไว้ดีว่า “จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น” คือเมื่อทำงานแล้วไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ยึดว่าเป็นของกู ของกู ยกให้เป็นของความว่างไป ยกให้เป็นของธรรมชาติหรือยกให้เป็นของเพื่อนฝูงหมู่ร่วมคณะก็ได้ เพราะการที่ยึดเป็นของกู มันสร้างความทุกข์ ไม่ว่างานนั้นจะสำเร็จหรือล้มเหลวถ้ายึดเป็นของกูแล้ว มันก็ทำความทุกข์ให้ ถ้าเป็นความสำเร็จมันก็ค้ำคอ พะนออัตตา ถ้ามันไม่สำเร็จมันก็ทิ่มแทงใจ ถ้ามันคิดว่าเป็นของกู ของกูอยู่นั่น   ไม่ใช่แค่เฉพาะงานอย่างเดียว แม้กระทั่งผลที่ตามมา จะเป็นคำชื่นชมสรรเสริญ คำติฉินนินทาก็เช่นกัน รับรู้ไว้แต่ไม่ยึดมาเป็นของเรา เอามาพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้นแต่ไม่ใช่เพื่อมาพะนออัตตาค้ำคอตัวเอง หรือว่าหรือว่าทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง   และที่จริง ถึงเราไม่คิดว่างานเป็นของเรา ถ้าใครจะมาช่วย ใครจะมามีส่วนร่วมก็ยินดี ไม่ใช่หวงแหนว่าเป็นงานของกู งานของกู ใครมายุ่งไม่ได้ ซึ่งก็สร้างความทุกข์ สร้างความเดือดร้อน สร้างความร้าวฉานให้กับผู้คนมากมายในหลายที่ทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าไม่รู้จักปล่อยวาง   ทำเต็มที่ ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ไม่ได้แปลว่า ปล่อยประละเลย ทำด้วยจิตที่ว่าง ไม่ยึดติดว่างานเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ยึดแม้กระทั่งความสำเร็จ หรือคาดหวังความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเพราะว่าเป็นอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน วางอดีตวางอนาคตอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และช่วยทำให้งานออกมาดีเท่าที่จะดีได้ แล้วก็ทำให้เรามีความสุขไม่เครียดด้วย 
4/26/202426 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670126pm--ในแย่มีดี

26 ม.ค. 67 - ในแย่มีดี : ที่เรามองว่ามันไม่ดีๆ มันมีดีอยู่ ถ้าเรารู้จักใช้ ก็เหมือนกับขยะ ถ้ามากองไว้หน้าบ้านมันก็เหม็น แต่ถ้าไปกองไว้ในสวนโคนต้นไม้ มันก็กลายเป็นปุ๋ย ฉะนั้นศิลปะของการปฏิบัติก็คือว่า เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือ หาประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ดี ในทุกข์มันก็มีสิ่งดีอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะสกัดออกมาหรือใช้ให้เป็นไหม จะพูดว่าในทุกข์มีสุขก็ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ อันนี้ก็เป็นการบ้าน ว่าเราจะหาสุขพบได้อย่างไรท่ามกลางความทุกข์ ที่จริงครูบาอาจารย์อย่างท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ถึงกับบอกเลยว่า “ในวัฏสงสารมีนิพพาน ไม่ต้องไปหานิพพานที่ไหน ต้องไปหานิพพานจากวัฏสงสาร”   โพธิ ก็พบได้ท่ามกลางกองกิเลส ก็เหมือนกับดอกบัวเกิดขึ้นจากโคลนตม ไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว
4/25/202427 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25670125pm--นิ่งไว้เมื่อภัยมา

25 ม.ค. 67 - นิ่งไว้เมื่อภัยมา : และเมื่อถึงเวลาที่อันตรายมาถึงตัว ก็จะดีกว่าถ้าหากเรายอมรับมัน เรียกว่าการนิ่งสงบ ไปต่อต้านขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ บ่อยครั้งเราคิดว่ามันต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่บ่อยครั้งการทำนั่นทำกลับสร้างปัญหาให้มากกว่าก็ได้ อย่างเช่นคนป่วยระยะท้าย บางทีการยอมรับความตายที่มาถึงมันสร้างความทุกข์น้อยกว่าการที่ดิ้นรนเพื่อยื้อชีวิต การไปยื้อด้วยการทำโน่นทำสารพัด เจาะคอ ใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ สารพัดพวกนี้ ดูเหมือนทำให้สบายใจว่าได้ทำอะไรให้กับเขาบ้าง แต่ว่ามันอาจจะเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขาก็ได้ ขณะที่การที่ไม่ทำอะไรเลย หรือถ้าเป็นเจ้าตัวเอง การที่ไม่ไปดิ้นรนทำอะไรเลย แต่ยอมรับมัน อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะถึงแม้จะหนีอันตรายไม่พ้น แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่แน่ พอวางใจดี ยอมรับมันได้ ก็อาจจะรอดตายหรือพ้นตายก็ได้ เช่นตัวอย่างที่เล่ามา   ฉะนั้นฝึกใจให้รู้จักนิ่ง ยอมรับสิ่งต่างๆ อาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่แม้จะแก้ไขได้ แต่ขณะที่ยังไม่ทันได้แก้ไข เราก็ยอมรับมัน นิ่งสงบ ต่อไปก็จะทำให้เรามีความสามารถในการที่จะนิ่งได้ แม้เจออันตรายที่หนักหนาสาหัสกว่า โดยเฉพาะปัญหาหรือสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้   แต่ถึงแม้ปัญหามันจะยังเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป่วย ไม่สบาย ถ้าเรารักษาก็หาย ระหว่างที่ป่วยอยู่ก็ยอมรับมัน อย่างน้อยๆ ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย พอใจไม่ป่วยแล้ว ก็จะทำให้มีสติในการใช้ปัญญา แก้ปัญหา ไม่รน กระวนกระวาย อาจจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าใจที่กระสับกระส่ายหรือตื่นตระหนกตกใจก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราเจอสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้ก็ตาม เจอปัญหาที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ก็ตาม การนิ่ง การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นอุบายที่ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านั้น 
4/24/202428 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670124pm--แมงระงำสอนธรรม

24 ม.ค. 67 - แมงระงำสอนธรรม 
4/23/202419 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25670123pm--จะสร้างAIให้มีคุณธรรมได้หรือไม่

23 ม.ค. 67 - จะสร้าง AI ให้มีคุณธรรมได้หรือไม่
4/22/202427 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670122pm--มองตนก่อนเรียกร้องคนอื่น

22 ม.ค. 67 - มองตนก่อนเรียกร้องคนอื่น : สิ่งที่เราคาดหวังจากคนอื่น มันเป็นตัวการที่ทำให้เราเป็นทุกข์ การกลับมามองตนนี้มันเป็นพื้นฐานสำคัญเลยในการที่จะช่วยรักษาใจให้พ้นทุกข์ได้ หรือให้พ้นจากความเครียด ความวิตกกังวล ความโกรธ เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่กลับมาดูใจตัวเอง เราจะเพ่งโทษคนอื่นหรือเรียกร้องคนอื่นอยู่นั่นแหละ แล้วพอไม่สำเร็จ พอไม่เป็นไปดั่งใจ ก็จะหงุดหงิดหัวเสีย ให้เตือนตัวเองว่า เวลาเราเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง ๆ จริงๆ แล้วคนที่ควรปล่อยวางมากกว่าใครนี้คือตัวเรา เพราะที่เราเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง แต่เราปล่อยวางเขาไม่ได้ มันทำให้เราทุกข์ มันทำให้เราหงุดหงิด   เจอมานักต่อนักแล้ว คนที่บอกคนอื่นให้ปล่อยวาง แต่ที่จริงตัวเองยังปล่อยวางไม่ได้ ตัวเองยังยึดมั่นถือมั่นมาก เพราะถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่แบกเอาไว้ คงไม่เครียด ไม่ทุกข์ แล้วไม่เรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง   ฉะนั้นถ้าจะว่าไปเวลาเราเรียกร้องให้ใครต่อใครปล่อยวางหรือเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง มันเป็นสัญญาณฟ้องว่าเรากำลังแบกอะไรบางอย่างเอาไว้ ให้กลับมาดูใจของตัว แล้วก็จะพบว่าเป็นเพราะเรายังยึดมั่นถือมั่นในการกระทำของคนนั้นคนนี้ โดยเฉพาะที่ไม่ถูกใจเรา รวมทั้งยึดมั่นถือมั่นในความคาดหวังของเรา   ต้องการให้คนอื่นเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง ต้องการให้แม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง พอท่านไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เราก็หงุดหงิดหัวเสีย หรือเรียกร้องให้คนอื่นทำตัวให้น่ารัก แต่พอเขาไม่ทำตัวอย่างที่เราปรารถนาหรือคาดหวัง เราก็หงุดหงิดหัวเสีย แล้วก็โวยวายเป็นทุกข์   กลับมามองตน แล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมเราคิดแบบนั้น ทำไมเรารู้สึกอย่างนั้น ถ้าเราถามตัวเองหรือทักท้วงตัวเองอยู่บ่อยๆ การน้นที่เราจะไปตั้งคำถามกับคนอื่นมันก็จะน้อยลง หรือว่าการไปคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็จะน้อยลง แล้วเราก็จะมีความสุข สบาย โปร่ง เบา ได้ง่ายขึ้น 
4/21/202424 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670121pm--เมื่อทุกข์จึงเห็นคุณค่าของธรรม

21 ม.ค. 67 - เมื่อทุกข์จึงเห็นคุณค่าของธรรม 
4/20/202424 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670120pm--อยู่ในโลกอย่าทิ้งธรรม

20 ม.ค. 67 - อยู่ในโลกอย่าทิ้งธรรม : ถ้ามีธรรมะ มันจะช่วยรักษาใจของคนที่อยู่ในโลก หรือมีการงานมากมาย ให้จิตใจไม่รุ่มร้อน ไม่วุ่นวายได้ ฉะนั้นถ้าดูให้ดี โลกกับธรรมมันไม่แย้งจากกัน ยิ่งอยู่ในโลกยิ่งต้องมีธรรมะ ยิ่งทำงานเกี่ยวข้องกับผู้คน ยิ่งต้องอาศัยสติในการรักษาใจ แต่จะว่าไปแล้วธรรมะมันไม่ใช่แค่ช่วยคนที่อยู่ในโลก หรือช่วยสนับสนุนชีวิตทางโลกเท่านั้น ชีวิตทางโลกหรือการทำงานทางโลก มันก็สามารถจะไปเอื้อเฟื้อธรรมะได้ด้วย เพราะว่าถ้าหากว่าเราทำงานเป็น การทำงานนั้นก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัว   เราไม่ใช่เพียงแค่เอาธรรมะมาสนับสนุนการทำงานทางโลก แต่การทำงานทางโลกก็ยังเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย การเอาธรรมะมากำกับการใช้ชีวิตทางโลก มันเป็นสิ่งจำเป็นฉันใด การเอางานทางโลกมาเป็นเครื่องสนับสนุนการปฏิบัติธรรม มันก็เป็นสิ่งที่ควรทำฉันนั้น ถ้าเราพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าธรรมมันสนับสนุนโลก แล้วโลกก็สนับสนุนธรรมด้วย   ถ้าหากว่าธรรมะหมายถึงการฝึกจิตหรือการทำจิต เราต้องอาศัยการทำจิตนั้นมาช่วยกำกับการทำกิจ ถ้าเราใช้การทำจิตเพื่อมากำกับการทำกิจ ชีวิตเราก็จะวุ่นวายน้อยลง และขณะเดียวกันถ้าเราเอาการทำกิจมาเป็นเครื่องสนับสนุนการทำจิต มันก็ยิ่งทำให้การปฏิบัติธรรมมันก้าวหน้า หมายความว่าเวลาเราทำงาน แม้จะเป็นงานทางโลก แต่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัว เป็นการฝึกสติ เป็นการฝึกให้ลดละกิเลส ฝึกลดละความยึดมั่นในตัวตน   ฉะนั้นที่เข้าใจกันไปว่าอยู่ในโลกมันแยกขาดจากเรื่องทางธรรม มันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยิ่งอยู่ในโลกมากเท่าไร ยิ่งต้องอาศัยธรรมะเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล ให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างสงบเย็น แล้วถ้าหากว่าเรารู้จักการทำจิตแล้ว   แม้กระทั่งอยู่กับผู้คน มีงานการมากมาย เราก็สามารถจะใช้การทำงาน การทำกิจ หรือการเกี่ยวข้องกับผู้คน ในการสนับสนุนการฝึกจิตของเราได้ ทำให้มีเมตตากรุณา ทำให้มีสติ มีความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง และโลกกับธรรมถึงที่สุดแล้วมันก็ไม่แยกจากกัน ต้องเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตทางโลกให้ได้มาก 
4/17/202428 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670119pm--ไม่คาดหวัง ใจก็ไม่ทุกข์

19 ม.ค. 67 - ไม่คาดหวัง ใจก็ไม่ทุกข์ 
4/16/202426 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25670118pm--อย่ามัวโทษคนอื่นเมื่อใจเป็นทุกข์

18 ม.ค. 67 - อย่ามัวโทษคนอื่นเมื่อใจเป็นทุกข์ : ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้เลย ตราบใดที่เราไม่ร่วมมือด้วย อาจารย์ชยสาโรท่านพูดดีว่า ไม่มีใครมาทำให้เราโกรธ ไม่มีใครมาทำให้เราทุกข์ได้ มีแต่คนที่มาเชิญชวนให้เราทุกข์ ให้เราโกรธ อยู่ที่ว่าเราจะรับคำเชิญของเขาหรือเปล่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าเราทุกข์เมื่อไหร่ แสดงว่าเรารับคำเชิญและคำชวนของเขา แล้วอย่างนี้จะไปโทษใคร อันที่จริงพระพุทธเจ้าเคยพูดกับพราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ด่าท่านอยู่เรื่อยๆ แต่ท่านก็ไม่สนใจ แล้วท่านพูดกับเขาในเวลาต่อมาว่า ถ้าหากว่ามีคนมาบ้านท่าน ท่านจะทำอย่างไร พราหมณ์บอกว่า เขาจะเอาของกิน ของขบเคี้ยวมาให้อาคันตุกะ พระพุทธเจ้าจึงถามว่า แล้วถ้าอาคันตุกะไม่รับของขบเคี้ยวของท่าน ของนั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์ตอบว่าเป็นของข้าพเจ้าสิ   พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า ฉันใดก็ฉันนั้น คำต่อว่าด่าทอของท่าน ในเมื่อเราไม่รับ มันจะเป็นของใคร พระพุทธเจ้าไม่ทุกข์เพราะว่าไม่รับคำต่อว่าด่าทอของเขา แปลว่าอะไร แปลว่าที่เราทุกข์เพราะไปรับคำตอบว่าด่าทอของเขาเข้ามากรีดแทงใจเรา และนี่เป็นความรับผิดชอบของใคร   เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเมื่อพูดถึงความทุกข์แล้ว โดยเฉพาะความทุกข์ใจ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเป็นอย่างไร จะเจอการกระทำหรือคำพูดของใคร แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ ถ้าเราวางใจให้ถูกต้อง และแน่นอนถ้าเราวางใจได้ดี และเราประพฤติตัวดี มีการกระทำที่ถูกต้องทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม การที่จะมีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นกับเราก็จะน้อยลง   ถ้าเราใช้เงินอย่างระมัดระวัง มีสติ พาลูกเดินเที่ยว เข็นลูกไปเที่ยวอย่างมีสติ มีความระมัดระวัง มันก็ไม่เกิดเหตุร้ายกับลูกของเรา และถ้าเราดูแลสุขภาพดี มันก็ไม่เกิดความเจ็บป่วยขึ้นกับเรา แต่ถึงแม้มันจะมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้น แม้ว่าเราจะดูแลตัวเองดีแล้ว หรือทั้งๆ ที่เราขับรถดีแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาเฉี่ยวมาชนเรา แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ใจ ถ้าเรารู้จักวางใจได้ถูกต้อง   เพราะฉะนั้นเวลามีความทุกข์ ก็อย่ามองออกไปข้างนอกตัว เราต้องกลับมาดูที่ใจของเรา เพราะถ้าเรากลับมาดูที่ใจของเรา การที่จะออกจากทุกข์ การที่จะแก้ทุกข์ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสิ่งแย่ๆ จะยังคงอยู่
4/14/202429 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670117pm--รักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด

17 ม.ค. 67 - รักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด : ถ้าเรามีสติ เรามีความรู้สึกตัว เราก็จะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ยามที่คำพูดหรือการกระทำของเขามากระทบหูหรือกระทบตาของเรา อารมณ์เกิดขึ้น อันนี้ห้ามไม่ได้สำหรับตัวปุถุชนเมื่อมีการกระทบกับรูปหรือเสียง แต่ว่าอารมณ์นั้นก็ทำอะไรใจไม่ได้ ใจของเราก็ยังสงบได้ แม้จะอยู่ในห้องที่เสียงดังอึกทึก แม้ว่าคนรอบข้างจะทำตัวไม่น่ารัก ใจก็ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความโมโห ฉะนั้นมันทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม จากคนรอบข้าง จากสิ่งรอบตัวได้ ไม่ได้แปลว่าจะสงบได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในห้องที่ไม่มีเสียงดัง เพราะถ้ามีเสียงเมื่อไหร่ก็จะกระตุ้นให้เกิดความคิด เกิดอารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าความคิดหรืออารมณ์จะเกิดขึ้น แต่ก็ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะว่าเรารู้ทัน เรารู้ทันทีที่มันเกิดขึ้นในใจ   และถ้าเราสามารถจะรักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด ต่อไปเราก็จะเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่มากระทบจากภายนอก ก็ไม่ทำให้ใจเราหงุดหงิด มันจะมาล่อหลอกให้เราเกิดความโลภ เกิดความโกรธ หรือยั่วยุให้เราเกิดความโกรธ ก็ทำไม่สำเร็จ อันนี้เป็นเพราะการฝึกใจให้มีสติที่รวดเร็ว มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสงบ สงบในใจแม้รอบตัวจะว้าวุ่นก็ตาม   พูดอย่างนี้หลายคนก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ลองทำดู ก็จะรู้แต่เพียงว่าไม่มีความคิดเกิดขึ้น แล้วใจก็จะสงบ แต่ไม่ได้รู้ว่าแม้ความคิดเกิดขึ้นแล้วใจสงบก็ยังได้ ถ้ารู้ทันหรือรู้ว่ามีความคิดนั้นอยู่ นี่คือสิ่งที่คนที่ไม่ปฏิบัติหรือคนที่ไม่ได้ศึกษาจิตใจของตัวเองจะไม่เห็น เพราะฉะนั้นก็เอาแต่คิดหาทางควบคุมความคิดให้มันหยุดคิด หรือไปบังคับจิตให้เพ่งอยู่กับสิ่งอื่น มันจะได้ไม่คิด เพ่งลมหายใจ เพ่งมือเพ่งเท้า   มันมีวิธีที่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ ความสงบที่เกิดขึ้นในใจมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องบังคับจิต ไม่ต้องควบคุมความคิด เพียงแต่รู้ทันมัน แล้วต่อไปเราก็จะได้เห็นว่าความคิดของเรา มันมีอุบายต่างๆมากมายที่สามารถจะล่อให้เราหลง จะหลอกให้เราเชื่อ แล้วก็ทำให้เราเป็นทุกข์ หรือบางทีก็เสียผู้เสียคนไปเลย แต่ถ้าเรารู้ทันหรือว่ารู้ทัน มันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้   ถ้าเรารู้ทางรู้ทันบ่อยๆ ความคิดที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ เชื่อง แล้วก็ค่อยๆ มีลวดลายหรือมีอุบายน้อยลง หรือตกเป็นเครื่องมือของกิเลส ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ ความอิจฉา ความเกลียดชังน้อยลง กิเลสมันจะมาอาศัยความคิด มาหลอกล่อเราให้ทำตามมัน สนองปรนเปรอมัน หรืออยู่ในอำนาจของมัน ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าความคิดมันไม่ได้เป็นนายเราอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าเราเป็นนายความคิดมากกว่า ซึ่งอันนี้จะทำให้เราสามารถใช้ความคิดให้เกิดประโยชน์ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย มีได้ แต่รู้ทัน แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์
4/13/202425 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25670111pm--อย่ามาวัดเพียงแค่หาความสงบ

11 ม.ค. 67 - อย่ามาวัดเพียงแค่หาความสงบ : ถ้ามาวัดด้วยความคาดหวังว่าจะได้พบกับความสงบ แล้วเกิดไม่เจอความสงบอย่างที่คาดหวัง เกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง กลายเป็นว่ามาแล้วเกิดทุกข์ขึ้นมา หรืออาจจะมาได้เจอความสงบอย่างที่คาด แต่อยู่ๆไปความสงบที่เคยพบหายไป อาจจะเป็นชั่วครู่ชั่วยาม เช่น มีเสียงดัง หรือว่าคนพูดไม่ถูกหู ทำอะไรไม่ถูกใจ ถ้าเกิดเป็นครั้งเป็นคราว ยังพอไหว แต่ว่าถ้าเกิดบ่อยๆ จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา ผิดหวัง จะดีกว่าถ้าหากว่าเราตั้งจิตว่า ไม่ได้มาวัดเพื่อความสงบ แต่ว่าเพื่อมาฝึกตน ถ้าเราตั้งจิตแบบนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นที่นี่ จะมีเสียงดังจากนอกวัด เสียงพูดคุยจากคนในวัด หรือว่าการกระทำคำพูดที่ไม่ถูกหู ไม่ถูกใจ หรืออะไรต่างๆ เช่น ความไม่สะดวกสบาย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มาเป็นประโยชน์สำหรับการฝึกตนได้ทั้งนั้น   ถ้าเรามุ่งเพื่อการฝึกตน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าบวกหรือลบ ดีหรือร้าย ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้นสำหรับการฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อฝึกให้เกิดความอดทนเท่านั้น แต่ว่าฝึกให้สามารถที่จะรับมือหรืออยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์   ถ้าเรามาวัดเพื่อฝึกฝนตนโดยเฉพาะการฝึกใจ ไม่ใช่แค่มาอยู่ง่ายกินง่ายอย่างเดียว แต่ว่ามาฝึกสติ ฝึกสมาธิ ทำความรู้สึกตัว หรือว่าลดละกิเลส ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นที่นี่ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น เพราะเป็นอุปกรณ์หรือเป็นการบ้าน วัตถุดิบสำหรับการฝึกตน ทำให้เรามีสติไว รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เวลามีอะไรมากระทบ หรือรู้จักวางจิตวางใจให้เป็นกลางต่อสิ่งที่มากระทบได้   ถ้าหากว่าเรามาวัดเพื่อหาความสงบ นอกจากจะมีโอกาสผิดหวังแล้ว อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากการมาวัดเท่าที่ควร โดยเฉพาะที่ซึ่งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่มุ่งเรื่องการฝึกฝนตน
4/12/202426 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670110pm--รู้ทันความคิดจนจิตเป็นอิสระ

10 ม.ค. 67 - รู้ทันความคิดจนจิตเป็นอิสระ : คนเราทุกข์เพราะความคิดก็เพราะเหตุนี้ เพราะว่าชอบเติมแต่งไปจนมันเกินเลยไป ถ้าหากว่าเราเจริญสติ มันต้องเห็นไปเรื่อยๆ เห็นลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าการที่ใจมันยึดเข้าว่าเป็นเรา เป็นของเรา ตรงนี้คือที่หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอว่า เห็น ไม่เข้าไปเป็น ถ้าเรามีสติเห็นอยู่ชัดๆ มันจะไม่เข้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา แล้วมันจะรู้ทันเลยว่า มันมีการปรุงตัวกูขึ้นมา เป็นผู้โกรธ เป็นผู้เกลียด เป็นผู้ปวด เป็นผู้เครียด มันมีการปรุงตัวกูขึ้นมา ถ้าไม่รู้จักพิจารณา ไม่รู้จักเฝ้าดูใจของตัว ไม่มีสติที่ไวพอ ก็จะไม่เห็นตรงนี้ และตรงนี้มันคือรากเหง้าของความทุกข์ การปรุงตัวกูขึ้นมา มันเป็นยิ่งกว่าการตีค่า มันมากกว่าการเติมแต่งหรือการตีความ แต่มันเป็นการสร้างตัวทุกข์ขึ้นมาเลย   การเจริญสติ ถ้าหากว่าเรามีสติที่ละเอียด และไว เราจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่มารู้ว่าโกรธ หลังจากที่โกรธไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ามันจะรู้แม้กระทั่งเวลาขณะที่กำลังโกรธ เห็นชัดๆ เลย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า เห็นแบบจังๆ เห็นแบบซึ่งๆ หน้า   ต่อมามันจะเห็นเร็วขึ้น จนกระทั่งว่าเพียงแค่มีความกระเพื่อมในจิตใจ เห็นความหงุดหงิดขึ้นมา มีความหงุดหงิดขึ้นมาก็รู้ทัน เห็นมันได้ทันที ต่อไปก็จะเห็นว่า ที่เราทุกข์เพราะเราชอบให้ค่าหรือตีค่าไปในทางลบ หรือตีความไปในทางร้าย หรือเติมแต่งไปต่างๆ นานา จนกระทั่งเห็นชัดๆ เลย เป็นเพราะการปรุงตัวกูขึ้นมา ที่มันเป็นตัวการทำให้ทุกข์   ถ้าเราเจริญสติ ไม่เห็นตรงนี้ มันก็แค่มีความสบายชั่วคราว รู้ทันความคิดรู้ทันอารมณ์ ก็วาง ปล่อย สุดท้ายก็กลับมาทุกข์ใหม่ เพราะไม่รู้ทันการตีค่า ให้ค่า หรือการตีความ หรือว่าปล่อยให้ใจปรุงแต่งไปสารพัด จนกระทั่งเข้ารกเข้าพก รวมทั้งการเข้าไปเป็น ไม่ว่ามีอารมณ์ใดเกิดขึ้นก็เข้าไปเป็น หรือเข้าไปยึดสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทรัพย์สมบัติต่างๆ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวการของความทุกข์   แต่ถ้าเรามีสติที่เจริญงอกงาม ก็จะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นทะลุทะลวง จนกระทั่งถึงตัวที่เป็นสมุทัย คือ รากเหง้าแห่งความทุกข์ ซึ่งก็อาจจะช่วยทำให้เราปลดเปลื้องใจออกจากความทุกข์ได้ในที่สุด
4/11/202426 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670109pm--สุขเพราะพอใจสิ่งที่มี

9 ม.ค. 67 - สุขเพราะพอใจสิ่งที่มี 
4/10/202427 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670108pm--พบสุขเมื่อใจสงบ

8 ม.ค. 67 - พบสุขเมื่อใจสงบ : คนเราถ้าได้เข้าถึงความสุขที่เกิดจากความสงบ มันก็ไม่มีความรู้สึกที่จะต้องไล่ล่าหาสิ่งเร้า หรือว่าแสวงหาอะไรใหม่ๆ เพื่อมาปรนเปรอความสุข และความสุขที่เกิดจากความสงบ แม้ว่ามันจะเกิดได้ยาก แต่ว่ามันก็ยั่งยืนกว่า และการภาวนา การเจริญสติ การทำกรรมฐาน มันคือการพาเราให้เข้าถึงความสุขที่ประณีตคือความสงบ เป็นความสุขที่เงินซื้อไม่ได้ แล้วก็ใครให้ก็ไม่ได้ เป็นความสุขที่แม้แต่จะหาก็ยังหาไม่ได้เลย แต่เกิดจากการทำ ทำให้มีขึ้น   หรือจะไปหาความสงบก็ได้เหมือนกัน จากสถานที่ๆ สงบ แต่ถ้าวางจิตไม่ถูก มันก็ยังคิดฟุ้งปรุงแต่ง ห่วงโน่นห่วงนี่ เหมือนกับนักธุรกิจแม้จะไปอยู่ในที่ๆ มันสงบ ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่เสียงธรรมชาติ แต่ว่าใจเขาก็ไม่สงบ เพราะว่าเขายังห่วงงาน บางคนก็ห่วงลูก ห่วงครอบครัว บางทีก็กังวลสารพัด จนนอนไม่หลับก็มี ความสงบแบบนี้ มันไม่ได้เกิดจากการที่ไปหาแล้วเจอ   บางคนมักจะพูดว่า ไปหาความสงบ แต่ความสงบที่ได้มาจากการหา มันเปราะบางมาก คนที่มาหาความสงบที่นี่อย่างที่วัด บางทีก็ผิดหวัง เช่น เจอเสียงดังเมื่อ 2-3 วันก่อน มีเสียงกระหึ่มจากงานเลี้ยงทำบุญบ้าน หรือบางทีก็มีงานศพ มีงานฉลองสารพัด หรืออาจจะเจอผู้คนที่ไม่น่ารักน่าระอา ก็ทำให้ใจไม่สงบได้   ความสงบที่เกิดจากการหามามันเปราะบาง แต่ความสงบที่เกิดจากการทำขึ้นมา ทำด้วยสติ ทำด้วยสมาธิ ทำด้วยปัญญา อันนี้จะเป็นความสงบที่มั่นคงกว่า ถึงแม้ว่ามันก็ตกอยู่ภายใต้ อนิจจัง คือความไม่เที่ยง แต่ว่าตราบใดที่คนเรามีความสามารถในการรักษาใจให้สงบ แม้ว่าใจกระเพื่อม แต่ว่าก็สามารถจะกลับมาเป็นปกติสงบได้ไว   และพอสงบได้แล้ว การอยู่แบบเรียบง่าย การอยู่แบบไม่เป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพ ใครเขาจะได้อะไรมา แต่เราก็ไม่สนใจจะได้ เพราะว่าความสุขของเราไม่ได้อยู่ที่การได้ ไม่ได้อยู่ที่การมีด้วยซ้ำ แต่อยู่ที่ความสงบ ซึ่งเกิดจากการทำอันนี้มันยั่งยืนกว่า 
4/9/202424 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670105pm--สติช่วยชีวิตในยามวิกฤต

5 ม.ค. 67 - สติช่วยชีวิตในยามวิกฤต : เราเห็นคุณค่าของสติ ตระหนักว่าสติจะทำงานได้ดีได้ไว มันต้องผ่านการฝึก ผ่านการทำซ้ำๆ แล้วก็สามารถจะใช้เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะเวลาถูกกระทบด้วยสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจ อย่างเช่น ฝึกสติเวลามีคนต่อว่า มีคนติฉินนินทา เราจะครองสติได้อย่างไร เวลามีคนเหวี่ยงคนวีนต่อหน้าหรือใส่หน้าเรา เราจะมีสติได้อย่างไร หรือว่าเวลาใครไม่ว่าจะทำหรือใช้คำพูดไม่ถูกใจเรา ไม่ว่าเขาเป็นลูกน้องเรา หรือว่าเขาเป็นเจ้านายเรา หรือเป็นเพื่อนร่วมงานเรา เราจะครองสติได้อย่างไร ใหม่ๆ ก็โกรธ กว่าจะรู้ตัวว่าโกรธก็ด่าไปเรียบร้อยแล้ว หรือว่าโวยวายไปเรียบร้อยแล้ว   แต่ว่าถ้าเราไม่ย่อท้อ เออ เราก็เพียรฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไปก็จะพบว่าสติเรามาไวขึ้น ยังไม่ทันจะว่า ยังไม่ทันจะโวยวายเลย เราก็มีสติรู้ตัวแล้ว และไม่ปล่อยใจให้เผลอพูดหรือทำไปตามอารมณ์ ต่อไปมันก็จะมีสติไว กระทั่งว่าเพียงแค่เกิดความไม่พอใจ ยังไม่ทันโกรธเลยก็รู้ทันเสียแล้ว ไม่ปล่อยให้มันลามกลายเป็นความโกรธ   ดังนั้นต่อไปก็อาจจะมีสติถึงขั้นว่าสามารถที่จะยิ้มได้หรือนิ่งได้ แม้ว่าจะถูกต่อว่าด่าทออยู่เบื้องหน้าก็ตาม เราฝึกได้ แล้วควรใช้โอกาสพวกนี้ฝึกในชีวิตประจำวัน เวลามีเสียงดัง เสียงโทรศัพท์ดังในขณะประชุม ในขณะที่กำลังฟังธรรม ในขณะที่สวดมนต์ แล้วเราจะมีสติได้อย่างไร ใช้โอกาสนี้ในการฝึกสติ ในชีวิตประจำวันของเรา มันเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น รถติด หรือว่าเพื่อนผิดนัด ถ้าเราเอาแต่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ไปตามสิ่งเร้า นอกจากเราจะทุกข์แล้ว นอกจากโมโห นอกจากหงุดหงิดแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย เลยทุกข์ฟรีๆ แล้วก็เสียโอกาสในการฝึกสติ   เราต้องฝึกสติแบบนี้ ฝึกเวลามีสิ่งมากระทบ ถ้าเราเจอบ่อยๆ แล้วเราใช้โอกาสนี้ในการฝึก เราก็ได้ฝึกสติเรียกว่าบ่อยขึ้น แล้วมันเป็นโอกาสดี เพราะถ้าเราไม่ฝึกจากเหตุการณ์แบบนี้ มันก็เหมือนกับเราขาดการซ้อม พอเราขาดการซ้อม ถึงเวลาเจอวิกฤตหนักๆ ไปไม่ถูก เสียผู้เสียคนไปเลย หรือเสียศูนย์ไปเลย หรือบางทีก็ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำซึ่งเป็นโทษกับตัวเอง   การฝึกสติ นอกจากการฝึกสติในรูปแบบด้วยการทำอะไรซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกตัว ใจเผลอใจลอยไปก็รู้ทัน พาจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวในสิ่งที่ทำ ยังหมายถึงการฝึกสติเวลามีอะไรมากระทบในชีวิตประจำวันซึ่งมันมีบ่อย เราอาจจะเจอทุกวัน ถ้าเราใช้โอกาสนี้มาเป็นการฝึก เราก็ได้ประโยชน์ สติเราก็จะเติบโต แล้วการตอบโต้การปฏิบัติของเรามันก็จะแคล่วคล่องว่องไวในสิ่งที่ถูกต้อง
4/8/202425 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670104pm--เสียงดังแค่ไหน ใจวางเฉย

4 ม.ค. 67 - เสียงดังแค่ไหน ใจวางเฉย 
4/7/202425 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25670103pm--สอบวิชาที่สำคัญของชีวิต

3 ม.ค. 67 - สอบวิชาที่สำคัญของชีวิต
4/6/202427 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670102pm--ทำวันนี้ให้เป็นวันดีของชีวิต

2 ม.ค. 67 - ทำวันนี้ให้เป็นวันดีของชีวิต 
4/5/202429 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25670101pm--ทุกวันคือโชคที่ควรใช้ให้คุ้มค่า

1 ม.ค. 67 - ทุกวันคือโชคที่ควรใช้ให้คุ้มค่า : การฝึกตนให้พร้อม ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการมาปฏิบัติธรรมด้วยการมานั่งทําสมาธิ เดินจงกรม สร้างจังหวะ อันนั้นเป็นการซ้อม แต่ว่าถ้าเราฝึกจากของจริง ฝึกจากสิ่งที่มากระทบในชีวิตประจําวัน ฝึกจากสิ่งที่ไม่ถูกอกถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง สิ่งที่ไม่ถูกใจ แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องในความรู้สึกของเรา เจอแล้วเราสามารถจะวางใจเป็นปกติได้ ถ้าเราวางใจให้เป็นปกติเมื่อมีสิ่งที่มากระทบ เราก็จะมีความพร้อมมากขึ้น ในการที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ถ้าชีวิตของเรามันไม่เจออะไรมากระทบเลย มันเจอแต่ความสงบราบเรียบ ทุกอย่างเลิศเลอเพอร์เฟคทำให้ใจเราสงบได้ แบบนี้ต้องถือว่ามีความเสี่ยง เพราะว่าไม่มีประสบการณ์ในการที่จะรับมือกับสิ่งกระทบเลย เมื่อเราไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับสิ่งกระทบ ไม่รู้จักเอาสิ่งนี้มาฝึกสติ มาสร้างปัญญา ถึงเวลาเจอความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย ความตาย ก็เสียศูนย์   ความสงบที่มีที่ได้มาในระหว่างการอยู่ในสถานที่ที่อํานวย เป็นสัปปายะ มันไม่พอที่จะทำให้เรารับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนจากสิ่งที่มากระทบ แล้วเรียนรู้จากมัน ฝึกจิตให้มีสติ มีปัญญา ธรรมเหล่านี้ที่จะทําให้เราพอจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ หรือมีอุปกรณ์ในการที่จะรับมือกับความทุกข์หนักๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเราในวันข้างหน้าได้   เพราะฉะนั้นให้เราถือว่าโชคที่เรามีเวลาในวันนี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่ออะไรเลย แต่เพื่อให้เราได้มีเวลาในการฝึกฝนตนให้พร้อมสําหรับศึกที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
4/4/202430 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661231pm--ของขวัญที่คู่ควรกับชีวิต

31 ธ.ค. 66 - ของขวัญที่คู่ควรกับชีวิต : สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว เขารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา ถ้าเราเห็นเช่นนี้ เราก็จะพบว่าสิ่งที่เราควรทำ สร้างสรรค์ให้เป็นเสมือนของขวัญของชีวิตนี้ ปีใหม่นี้ใครๆ ก็พูด ใครๆ ก็ปรารถนาของขวัญ แต่ของขวัญที่ดี มันเป็นของขวัญที่เราสร้างขึ้นมาเองหรือทำขึ้นมา แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าธรรมะ ของขวัญที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การที่เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เพราะถ้าเรามีสติก็จะช่วยทำให้ความคิดหลอกเราไม่ได้   ทุกวันนี้คนเราทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะใคร ไม่ใช่ทุกข์เพราะอะไร แต่ทุกข์เพราะถูกความคิดมันหลอก หลอกให้โกรธ หลอกให้กลัว หลอกให้เครียด เพราะไปมัวปรุงแต่งกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น มองอนาคตไปในทางลบทางร้าย หรือปรุงแต่งกับสิ่งที่ไม่รู้ในปัจจุบัน เหมือนกับคนที่อยู่ในกุฏิคนเดียว อยู่ในห้องคนเดียวกลางป่า แล้วก็นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เพราะไปนึกไปคิดว่ามีผี มีคนที่มุ่งร้ายหมายปองร้ายอยู่ข้างนอก   ผีก็ดี คนที่มุ่งร้ายก็ดี มันเป็นความคิดทั้งนั้น ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นความคิดที่ปรุงเข้ามาในหัว ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าคนที่มีสติก็จะไม่โดนความคิดนี้มันหลอก รู้ทันความคิด รู้ว่านี่เป็นสิ่งปรุงแต่ง นอกจากไม่โดนความคิดหลอกให้โกรธ ให้กลัว ให้เครียดแล้ว ก็ยังไม่โดนความคิดลวงให้ทุกข์ด้วย บางทีความคิดก็ชวนให้หลงไปจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด ที่ทำให้เกิดความเศร้าโศก เกิดความคับแค้นหรือเกิดความรู้สึกผิด ถ้าโดนความคิดมันลวง มันก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย กลายเป็นคนอมทุกข์ ต่อไปก็กลายเป็นคนซึมเศร้า ทั้งๆ ที่อยู่สุขสบาย มีรถ มีบ้าน มีทรัพย์สินเงินทอง มีโชคมีลาภแต่ว่าหาความสุขในจิตใจไม่ได้ หาความสงบในจิตใจไม่ได้ เพราะโดนความคิดหลอก หลอกให้โกรธ หลอกให้กลัว หรือโดนความคิดลวงให้ทุกข์   แต่ถ้ามีสติ ความคิดมันก็จะหลอกหรือลวงเราไม่ได้ เราก็จะพบกับความสงบ เพราะว่าสามารถจะใช้ความคิดไปในทางที่สร้างสรรค์ได้ แทนที่มันจะคิด มันจะหลอก หรือลวงให้คิดแต่ในทางลบ ก็รู้จักคิดในทางบวก   ปีหน้า ถ้าเรารู้จักคิดแบบภรรยาที่เล่ามาในตอนต้น เราจะพบว่ามันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย บางคนเริ่มกลัวแล้วว่าเดี๋ยวจะเจอปีชง แต่คนที่รู้จักมองไม่ว่าเจออะไร มันก็จะเห็นด้านดีของมันด้วย ด้านที่เสียก็อาจจะมี แต่ด้านที่ดีมันก็มี อันนี้เราเรียกว่ารู้จักมองบวก
4/3/202435 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661230pm--เพราะรู้จึงเป็นอิสระ

30 ธ.ค. 66 - เพราะรู้จึงเป็นอิสระ
4/2/202428 minutes, 31 seconds
Episode Artwork

25661229pm--สุขปีใหม่ถ้าวางใจถูก

29 ธ.ค. 66 - สุขปีใหม่ถ้าวางใจถูก
4/1/202426 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661228pm--มองให้เป็นก็เห็นสิ่งดีๆในปีนี้

28 ธ.ค. 66 - มองให้เป็นก็เห็นสิ่งดีๆในปีนี้
3/31/202426 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25661227pm-หนาวแต่กาย ใจไม่ทุกข์

27 ธ.ค. 66 - หนาวแต่กาย ใจไม่ทุกข์ 
3/25/202428 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25661226pm-เตรียมใจรับมือกับความพลิกผัน

26 ธ.ค. 66 - เตรียมใจรับมือกับความพลิกผัน 
3/24/202425 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25661224am--ทำบุญให้ถึงธรรม

24 ธ.ค. 66 - ทำบุญให้ถึงธรรม
3/23/202426 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661221pm--เติมสุขให้ใจ

21 ธ.ค. 66 - เติมสุขให้ใจ
3/22/202433 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25661220pm--รู้ใจก็ไกลทุกข์

20 ธ.ค. 66 - รู้ใจก็ไกลทุกข์
3/21/202428 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661219pm--ผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบสุข

19 ธ.ค. 66 - ผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบสุข
3/20/202428 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661218pm--หมั่นทิ้งขยะอารมณ์

18 ธ.ค. 66 - หมั่นทิ้งขยะอารมณ์
3/19/202428 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25661217pm--อย่าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา

17 ธ.ค. 66 - อย่าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา
3/18/202425 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25661216pm--ปลอดภัยได้เพราะเห็น

16 ธ.ค. 66 - ปลอดภัยได้เพราะเห็น
3/17/202427 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661215pm--เตรียมใจก่อนกลายเป็นคนอื่น

15 ธ.ค. 66 - เตรียมใจก่อนกลายเป็นคนอื่น 
3/16/202429 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25661214pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา

14 ธ.ค. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม 
2/5/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25661205pm--แง่คิดจากคนใกล้ตาย

5 ธ.ค. 66 - แง่คิดจากคนใกล้ตาย : ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ถึงแม้เราจะต้องตายจากโลกนี้ไป มันไม่มีอะไรต้องเสียดาย ที่จริงการใช้ชีวิตของเราแต่ละวันๆ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการใช้แต่ละวันเพื่อการเตรียมตัวรับมือกับความตายที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าความตายมาถึงมันทุกข์ทรมานมาก หรืออย่างน้อยๆ ก็ใช้เวลาแต่ละวันเตรียมรับมือกับความเจ็บความป่วยที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพาะก่อนที่เราจะตายเราจะต้องเจ็บป่วย ส่วนใหญ่นะ ไม่ใช่ตายฉับพลัน และหลายคนแม้ยังไม่ตายแต่ทุกข์ทรมานมากเพราะความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นทุกขเวทนาทางกายหรือทางใจ เพราะอะไรเพราะว่าช่วงเวลาที่ปกติสุข ไม่ได้สนใจเตรียมตัวเลย ทั้งๆ ที่มันมีโอกสจะเกิดขึ้นกับเรา 90 % เลย   และถ้าจะให้ดีก็เตรียมตัวรับมือกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต เรียนรู้จากความสูญเสียพลัดพราก เงินหาย ของหาย ก็ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดในการฝึกใจให้เผชิญกับสิ่งที่ไม่ถุกใจ หรือความผันผวนของชีวิตได้ เจอคำต่อว่าด่าทอก็ถือว่าเป็นเครื่องฝึกใจให้มีความมั่นคงหนักแน่น ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วยก็จะไม่โวยวายตีโพยตีพาย ถึงเวลาตายก็สามารถจะเผชิญความตายได้อย่างสงบ   นี่คือบทเรียนที่เราสามารถครุ่นคิดหรือใคร่ครวญได้จากการระลึกถึงความตาย หรือถ้าให้ดีก็เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของคนใกล้ตายอย่างหมอกิตไท ข้อเขียนของหมอกิตไทตลอดปีที่ผ่านมาก็สามารถเตือนใจเราได้ดีนะ เพราะเป็นการเอาประสบการณ์ของคนจริงๆ คนที่เจ็บป่วยจริงๆ คนที่ใกล้ตายจริงๆ มาบอกเล่า อ่านแล้วก็รู้สึกใกล้ตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องคิดเอาเอง   อันนี้ก็เป็นแง่คิดของคนที่เมื่อรู้ว่าจะตาย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้การตายของตนไร้ค่า แต่เอามาใช้เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่ยังอยู่ 
2/4/202426 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25661204pm--สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง

4 ธ.ค. 66 - สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง : ปัญหาคือว่าเวลาเราปฏิบัติธรรมแล้ว เรามักจะตั้งความหวังไว้สูง เช่นเดียวกับการทำความดี การทำบุญทำดี ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมนั้นดี แต่ว่ามันง่ายที่จะทำให้คนที่ทำดี ทำบุญหรือว่าปฏิบัติธรรมเผลอตั้งความหวังเอาไว้ หลวงพ่อครูบาอาจารย์พูดว่า ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมแล้ว มันจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอปฏิบัติธรรมเข้า พอทำดีทำบุญ ก็เลยตั้งความหวังเอาไว้ และเป็นความหวังที่สูงด้วยโดยเฉพาะถ้าเกิดว่ายังทำความเพียรมาไม่มากพอ แต่ตั้งความหวังไว้สูง มันย่อมต้องผิดหวังได้ง่าย มันไม่ใช่เฉพาะคนที่หมกมุ่นกับเรื่องทางโลกที่ตั้งความหวังไว้สูงว่าอยากรวย หรือรวยกว่าคนอื่น หรือว่าอยากจะให้สังคมและคนรอบข้างชื่นชมสรรเสริญเรา แม้กระทั่งคนที่ใฝ่ธรรม ขยันทำความดี ขยันทำบุญ หรือว่าหมั่นปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสง่ายมากที่จะตกหลุมแห่งความทุกข์เพราะความคาดหวัง   ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำบุญ ทำดีหรือปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ตาม ให้ตระหนัก ระวัง อย่าไปคาดหวังสูง โดยเฉพาะความคาดหวังที่มันสูงเกินจริง ถ้าให้ดีก็ให้รู้จักวางมันลง แล้วก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย อะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับ เพราะถ้าหากว่าเราตั้งความหวังไว้สูง แล้วยอมรับไม่ได้ แม้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังทุกข์เพราะว่ามันไม่มากเท่าที่หวัง หรือมันไม่ตรงกับที่หวังเอาไว้   ปฏิบัติธรรมทั้งที ก็ต้องสามารถที่จะเห็นได้ว่าสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร เราคาดหวังมันอย่างไร เรารู้สึกกับมันอย่างไร ตรงนี้ต่างหากที่เป็นตัวสมุทัยที่สำคัญ ปฏิบัติธรรมแล้วมองไม่เห็นตรงนี้ มันก็ง่ายที่จะยังทุกข์ต่อไปแม้ว่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเราก็ตาม 
2/3/202426 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25661203pm--ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย

3 ธ.ค. 66 - ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย : วิชาปล่อยวิชาวางสิ่งต่างๆ แต่ที่เราปล่อยวางไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ มันน่ากลัว เพราะถ้าเรายึดอะไรว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรากลายเป็นของมันทันทีเลย เรายอมตายเพื่อมันได้ทั้งที่ภัยมาถึงตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมปล่อย ปล่อยอุปกรณ์ ปล่อยของหนักที่ถือในมือ หรือสะพายหลัง เพราะว่าไปยึดว่าเป็นของเราๆ หรือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา หรือข้าราชการหลายคนไปยึดว่าบ้านเป็นของเรา รถเป็นของเรา หรือเป็นตัวเราเลยทีเดียว เป็นหน้าเป็นตา แต่พอต้องสูญเสียมันไป มันก็ไปกระทบกับตัวตน อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน เพราะว่าหน้าตาของเรา ศักดิ์ศรีของเราไปผูกติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้   อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการยึด เป็นเพราะยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ในแง่หนึ่งก็ให้ความสุข ถ้ามันยังอยู่กับเรา แต่ถ้าเมื่อใดวันดีคืนดีมันไปจากเรา มันทุกข์มากเลย มันไปจากชีวิตแล้ว แต่เรายังไม่ยอมปล่อยมันไปจากใจ ยังคิดถึงมัน ยังพะวงถึงมัน ยังอาลัยถึงมันอยู่ เหมือนกับว่าตัวตนบางส่วนของเราหายไป อันนี้เรียกว่าทำใจไม่ได้ แล้วที่ทำใจไม่ได้เพราะยังปล่อยวางมันไม่ได้ แล้วที่ปล่อยวางไม่ได้ เพราะไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา   ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะข้าวของเงินทองมากมายที่คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เช่น ตำแหน่งหน้าที่ หรือแม้กระทั่งคนรัก คนเราไม่ค่อยเห็นโทษของการไปยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา บางทีไปยึดโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเกิดเฉลียวใจว่า โอ เราไปยึดเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เกิดการเห็นโทษขึ้นว่า การยึดเช่นนี้มันเป็นโทษ เราก็จะเห็นความสำคัญการรู้จักปล่อยรู้จักวางมันออกไปจากใจ   แต่ถ้าเราปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ ถึงเวลาที่มันแปรเปลี่ยน หรือแปรปรวน สูญเสีย พลัดพรากไปจากเรานี้ มันอาจทำให้จิตสลายได้ และบางครั้งก่อนที่จิตจะสลาย ร่างกายก็มีอันเป็นไปเสียก่อน เพราะการที่ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เหมือนกับโจรมาปล้น มาจี้เอาเงิน เอาทรัพย์ เอาสร้อยแล้วเจ้าของไม่ยอม เพราะไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของฉันๆๆ หารู้ไม่ว่าตัวเองกลายเป็นของมันไปแล้ว จนยอมตายเพื่อมันได้   หลายคนก็ยอมตาย ยอมตายเพื่อที่จะรักษาสิ่งอันนั้นเอาไว้ ไม่ให้โจรเอาไป อันนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความคิดที่ว่า มันเป็นเราเป็นของเรา เพราะไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง แล้วที่ไม่ปล่อย ไม่วาง หรือวางไม่ลง ความคิดว่าเป็นเราเป็นของเรามันจึงน่ากลัว เพราะเรากลายเป็นของมันทันที แล้วเราอาจจะตายเพื่อมันหรือตายเพราะมันก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
2/2/202427 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25661202pm--วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก

2 ธ.ค. 66 - วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก : เห็นกับเป็นมันตรงข้ามกัน เมื่อเห็นมันก็ไม่เข้าไปเป็น ก็คือไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา หรือพูดอีกอย่างก็คือ การเห็นทำให้ไม่เปิดช่องให้มันมาทำร้ายใจได้ ในป่าเราเลี่ยงไม่ได้ต้องมีงู บนทางก็อาจมีหลุม เราเลี่ยงไม่ได้ เราปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เราเลี่ยงไม่ให้งูกัด ไม่เตะหนาม ใจของเราก็เหมือนกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ มีความคิด มีอารมณ์ มีความโกรธ มีความหดหู่ อันนี้ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปแบก ไม่ปล่อยให้มันมาทำร้ายใจ พูดอีกอย่างหนึ่งคือไม่ไปฉวย ไม่ไปยึด หรือไม่ไปแบกมันเอาไว้   เพราะฉะนั้นเรื่องการวาง หรือการปลง จริงๆ แล้วเราทำอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือชอบไปยึด ไปจับ ไปฉวย ไปแบกมากกว่า แต่ถ้ามีสติเห็น มีสติเห็นความคิดและอารมณ์ต่างๆ เห็นความทุกข์ การแบก การยึด การจับ การฉวยมันก็ไม่เกิดขึ้น วางแล้วก็วางเลย หรือถึงจะแบกแต่พอมีสติรู้ทันก็วางลง วางแล้วก็ไม่กลับมาแบกใหม่ อันนี้มันทำได้   ควรฝึกอยู่เสมอ ให้มีสติเห็น ให้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ และต่อไปการเห็นด้วยสติก็จะพัฒนาเป็นเห็นด้วยปัญญา ซึ่งทำให้ใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง 
2/1/202428 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25661201pm--จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว

1 ธ.ค. 66 - จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว : อย่างที่เราสวดกันมีตอนหนึ่งในบทภัทเทกรัตตคาถา ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าจะหมายถึงธรรม คือ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอกก็ได้ หรือหมายถึงความคิดและอารมณ์ภายในก็ได้ เห็นแล้วไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน คือไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ใจไม่กระเพื่อมเป็นการรู้ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา ใจที่มั่นคง ท่านสอนว่าให้ทําเช่นนั้นอยู่เนืองๆ ผู้ใดที่เห็นธรรมเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราฝึกจิตให้มีสติมีความรู้สึกตัว ไม่มัวแต่พยายามฝึกจิตให้นิ่ง หรือว่าบังคับจิตให้สงบ แต่ว่ายังมีความรู้สึกตัวได้ไว รู้ทันความคิดและอารมณ์ได้เร็ว แล้วก็สามารถที่จะเห็นหรือรู้ด้วยอาการที่สงบมั่นคง ไม่คลอนแคลน อันนี้ยิ่งเท่ากับทําให้ใจมีเครื่องรักษา มีเครื่องอารักขา ทําให้ปลอดภัยไม่ว่ามารจะมาล่อเร้าเย้ายวน หรือยั่วยุยังไง ก็ไม่ทําให้ใจเป็นทุกข์ได้   เมื่อใจปกติแล้ว การที่จะรักษาตน ครองตนให้อยู่ในความดี มีศีล มีธรรม หรือไม่ก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ก็ยิ่งเป็นไปได้ ฉะนั้นการพยายามรักษาใจให้อยู่ในถิ่นที่ปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสําคัญมาก ที่จะช่วยให้ใจเราเป็นปกติสุขได้อย่างแท้จริง
1/31/202426 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25661130pm--ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม

30 พ.ย. 66 - ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม : ถึงแม้ว่าชาวพุทธเราจะมีจุดมุ่งหมายที่ดูสูงส่ง ดูประเสริฐ แต่ว่าถ้าเราเรียนรู้จากคนเหล่านี้ นักกีฬาเหล่านี้ รวมทั้งนักว่ายน้ำมาราธอนที่กล่าวถึงตอนต้น ว่าเขาอุตส่าห์ทุ่มเทอย่างไร ถ้าเราเอาความทุ่มเทอย่างเขามาสักครึ่งหนึ่ง มาใช้กับการทำความเพียรเพื่อเข้าถึงธรรม เราจะก้าวหน้าไปเยอะ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้เขาก็เป็นแบบอย่างให้กับเราได้ ที่จริงถึงแม้ว่าสิ่งที่เขามุ่งหวังคือชื่อเสียงเกียรติยศ หรือว่าเหรียญทอง มันอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้มีความทุกข์น้อยลง ไม่ได้ช่วยดับทุกข์ แล้วก็อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้โลกดีขึ้น แต่จะว่าไปมันก็เป็นแรงจูงใจหรือเป็นแรงบันดาลใจให้กับคน ว่าคนเราสามารถที่จะทำอะไรที่ทำได้ยากได้ อันนี้ก็เป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนมีความเพียร แล้วถ้าเอาความเพียรนั้นมาใช้กับการทำสิ่งที่มีประโยชน์ มีสาระ มีคุณค่า ก็จะเกิดประโยชน์มาก   แต่การที่เราเอาอัตตาเป็นที่ตั้ง หรือว่าเป็นแรงจูงใจ ก็มีความเสี่ยง เพราะว่าพวกที่ก่อสงคราม ขยายดินแดน ขยายอาณาเขต ที่สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กับผู้คน พวกนี้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะมีแรงจูงใจอย่างอื่นประกอบด้วย แต่ว่าการเอาอัตตาเป็นแรงจูงใจ ข้อดีมันก็มี มันทำให้คนสามารถทำสิ่งที่ทำได้ยากได้ แต่ถ้าหากว่าใช้ในทางที่ผิด มันก็ก่อความวุ่นวาย ก่อความเดือดร้อน ก่อหายนะให้กับมนุษย์ได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดประวัติศาสตร์   มันจะดีกว่า ถ้าหากว่าเรามีจุดหมายในทางธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แล้วก็เพื่อความพ้นทุกข์ อันนี้เรียกว่าเพื่อประโยชน์ท่าน แล้วก็ประโยชน์ตนไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงแม้จะมุ่งหวังในสิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าขาดความเพียร มันก็ไม่เกิดประโยชน์   เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาความเพียรของคนเหล่านั้นมาใช้เป็นแรงจูงใจให้กับเรา มันก็จะช่วยทำให้ธรรมที่เรามุ่งหวัง สามารถจะเกิดผลเป็นจริงได้ นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้จากคนเหล่านี้ได้ 
1/30/202428 minutes, 49 seconds
Episode Artwork

25661129pm--จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป

29 พ.ย. 66 - จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป : บางเรื่องบางอย่างมันตัดสินยาก อย่างเช่น คนที่ป่วยระยะสุดท้าย หลายคนก็คิดว่าถ้าสู้ไปเรื่อยๆ มันจะมีโอกาสรอด แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพอสู้ไปๆ แม้จะเป็นการยื้อชีวิตให้อยู่ได้ยืนยาวขึ้น แต่ว่ามันกลับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ในกรณีแบบนี้แทนที่จะสู้ แต่ว่าปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบตามกระบวนการธรรมชาติ ยังจะดีกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือว่าญาติของผู้ป่วย คนป่วยเขาหมดสภาพไปแล้ว แต่ญาติหรือหมอจำนวนไม่น้อยก็คิดว่าต้องสู้ แต่ว่าการสู้ บ่อยครั้งก็ทำให้คนป่วยทรมานหนักขึ้น การไม่สู้แต่ช่วยทำให้เขาจากไปอย่างสงบ อาจจะดีเสียกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยาก   ฉะนั้นถ้าหากว่าคนเรามีความสามารถในการแยกแยะได้ว่า กรณีใดที่ถ้าสู้แล้วจะรอด หรือจะประสบความสำเร็จ หรือกรณีใดสู้ไปก็มีแต่จะสร้างความทุกข์ สร้างความเสียหาย วิธีที่ดีที่สุดคือว่ายอม ไม่ทำอะไรเลย หรือทำให้น้อยที่สุด อาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้ เผลอๆ อาจจะรอดก็ได้ อย่างกรณีแรกที่ลอยคออยู่กลางทะเล อันนี้เป็นโจทย์ที่มันหาข้อสรุปได้ยาก   คนเราก็คงจะต้องเจอกับโจทย์แบบนี้อยู่เรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็สักครั้งสองครั้งในชีวิต ว่าจะหยุดหรือว่าจะสู้ต่อไป บางครั้งการหยุดอาจจะดีกว่า แต่บางครั้งการสู้ต่อไปก็อาจจะทำให้ประสบความสำเร็จก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ เพราะบางทีการสู้อาจทำให้ทำความทุกข์ทรมาน อันนี้เป็นเรื่องที่คงต้องใช้ประสบการณ์ และปัญญาในการแยกแยะ 
1/29/202429 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25661128pm--รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้

28 พ.ย. 66 - รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้ : แต่ถ้าเราเริ่มยอมรับ ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง อย่างน้อยก็จะเจอธนูแค่สองดอก หรือยิ่งถ้าฝึกให้สามารถยอมรับความเจ็บปวดได้ ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง แต่ถ้ายอมรับความเจ็บปวดไม่ได้ มีความทุกข์ใจเกิดขึนก็ยอมรับความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นนักปฏิบัติธรรมก็มีโอกาสที่จะเกิดความรูุ้สึกแบบนี้ได้ ถ้ายอมรับ ความทุกข์ก็จะน้อยลง เพราะฉะนั้น การที่เรารู้จักหยุด หรือรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่มันเกิดขึ้นกับใจของตัวเองหรือกับชีวิตของตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันเป็นคนเพอร์เฟกต์ ฉันเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มาเป็นตัวที่ทำให้เราไม่ยอมรับความผิดพลาด หรือสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้   สิ่งแย่ๆ ถ้าเรายอมรับได้ มันก็ช่่วยลดความทุกข์ลงได้เยอะ และบางครั้งเราอาจจะต้องรู้จักหยุด รู้จักถอย เพื่อที่เราจะได้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เดินหน้าแล้วดันทุกรังไป สุดท้ายก็ตกเหวตกหน้าผา ซึ่งเป็นชะตากรรมที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยโดยเฉพาะกับคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ คนที่เป็นที่ยกย่อง เป็นไอดอลหรือไอคอนของผู้คน อันนี้เป็นกับดักที่ต้องระวัง 
1/28/202428 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661125pm--อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์

25 พ.ย. 66 - อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์ : คนเราไปเสียเวลาเสียอารมณ์ไปกับเรื่องพวกนี้มาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นในความถูกต้องจากคนอื่น ว่าเขาทำไม่ถูกต้อง เพื่อนบ้านส่งเสียงดัง เอาขยะมาวางไว้หน้าบ้าน หมาก็เห่า ลูกน้องหรือเจ้านายไม่เป็นธรรม ไปเสียเวลาแม้กระทั่งกับลูก กับภรรยาหรือสามี “พูดไม่เพราะกับฉัน” “ไม่เคยขอบคุณสักคำ” ถ้าเรามัวไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และที่สำคัญคือ เรามีเวลาเหลือในโลกนี้น้อย อย่างที่คุณยายบอก “ผู้หญิงคนนี้กับฉัน กับคุณก็ตาม เราอยู่บนรถโดยสารคันนี้เพียงแค่ชั่วคราว ไม่นานเราก็ต้องลงแล้ว” รถโดยสารในที่นี้หมายถึงอะไร หมายถึงโลกใบนี้ เรามีเวลาอยู่ในโลกใบนี้เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นาน แล้วเวลาเราก็เหลือน้อยลงไปทุกที จะมัวเอาเวลาไปทะเลาะเบาะแว้งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม   คนเรามักแยกไม่ออกว่า อะไรเป็นเรื่องเล็ก อะไรเป็นเรื่องใหญ่ บางคนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะคนที่ถือตัวถือตน ถือเรื่องหน้าตา ถือเรื่องศักดิ์ศรี อย่างเรื่องผู้หญิงออฟฟิศเกิร์ลคนนั้นทำแบบนั้น มันต้องเอาเป็นเรื่อง ทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง รู้ไหมฉันเป็นใคร แต่ในเมื่อเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้น้อย แล้วก็ลดลงไปเรื่อยๆ เราก็อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ให้ความสำคัญกับเรื่องที่สำคัญดีกว่า   รวมทั้งอย่าไปให้เวลากับความเศร้า ความโศก ความโกรธ ความแค้นมากนัก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ปล่อยมันไปบ้าง เพื่อจะได้มีเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญ เช่น คนที่เรารัก ลูก สามี ภรรยา พ่อ แม่ แล้วก็ตัวเรา ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ เราจะมีเวลาสำหรับการฝึกฝนเพื่อที่จะพาชีวิตนี้เข้าสู่ชีวิตที่พึงปรารถนา สามารถฟันฝ่าคลื่นลมไปได้อย่างปลอดภัย 
1/27/202422 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661125am--เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก

25 พ.ย. 66 - เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก : คำว่า ขจัดเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป จริงๆ มันแสดงว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่คนอื่นก็ยากแล้ว เพราะเราไปทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าเราพบว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เราแก้ที่ใจเรา ทุกข์ก็หมดไป จะทําอย่างนี้ได้ ก็ต้องใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐิ การที่แซมเขาคิดแบบนี้ว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้ นี่ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเราอาจจะมองว่าเป็นการคิดแบบโยนิโสมนสิการก็ได้ หรือบางทีเราก็ใช้คำว่าคิดบวกก็ได้   เพราะฉะนั้นคําว่า “มรรค” ถ้าเราจับประเด็นได้มันจะไม่ยาก ไม่ยากในแง่ของความเข้าใจ ไม่ยากในแง่ของการเห็นคุณค่า จะทําอย่างไรก็ได้ให้ได้ 4 ประการนี้ คือ 1) อย่าเอาทุกข์มาทับถมตน หรือว่าอย่าซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเจอทุกข์หนึ่ง อย่าเพิ่มทุกข์ให้เป็นสองเป็นสาม 2) อย่าปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม 3) อย่าสยบมัวเมาในความสุขที่ชอบธรรมนั้น และ 4) ขจัดสาเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ ก็เพื่อ 4 ประการนี้แหละ ถ้าเราใช้เป็น   แต่ถ้าคุณไม่ใช้ ไม่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ที่มี 4 ประการนี้ ถึงคุณจะเห็นดีอย่างไร คุณก็ทําไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเมคเซนส์มาก แล้วมันก็ไม่ยากอะไรเลย ไม่ได้เรียกร้องให้ต้องไปนิพพานก่อน แต่มันเรียกร้องแค่ให้มีสติ มีปัญญา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติ แต่มันต้องอาศัยศีลมารองรับไม่ว่าจะเป็น สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และนี่ก็คือศีล 5 ง่ายๆ 
1/26/202442 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25661124pm--ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก

24 พ.ย. 66 - ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก : หลายคนกว่าจะรู้ก็ตอนจะตาย อุตส่าห์ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง ชื่อเสียง เพื่อให้ได้เป็น CEO เพื่อให้ได้เป็นรัฐมนตรี สุดท้ายตอนใกล้ตายพบว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่พึงเป็นสรณะของชีวิตอย่างแท้จริง เพราะมีเท่าไหร่ก็ยังไม่หายทุกข์ มารู้เอาตอนจะตาย หลายคนเป็นอย่างนี้ มารู้ว่าทั้งหมดที่หามาทั้งชีวิต ต้องฟาดฟัน ต่อสู้ บางทีต้องทรยศ หักหลัง หรือแม้จะต้องต่อสู้จนทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับญาติพี่น้อง กว่าจะได้มาแล้วพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตต้องการเลย เพราะมันไม่ช่วยทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริง หลายคนบอกว่า “รู้งี้กูไม่ทำอย่างนี้หรอก” คนใกล้ตายหลายคนที่มักจะพูดอย่างนี้ “รู้งี้จะไม่ทำอย่างที่เคยทำ” เช่น การทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ความรู้ส่วนใหญ่มีประโยชน์ แต่ที่ไม่มีประโยชน์ก็คือ ‘รู้งี้’ เพราะสายไปแล้ว มารู้งี้ตอนจะตาย   บางคนนี้บอก ‘รู้อย่างนี้’ จะไม่ทุ่มเททั้งชีวิตนี้ให้กับการงาน แต่ก่อนเคยคิดว่า “ถ้าไม่มีเรา งานไม่สำเร็จ” “องค์กรอยู่ได้เพราะเรา” “ถ้าไม่มีเรา องค์กรอยู่ไม่ได้” แล้วคิดต่อว่า “อะไรที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้า ฉันก็จะทำเพื่อสิ่งนั้น” พอถึงตอนนี้รู้ว่าพอป่วยระยะท้ายมาพบว่า “ไม่มีเรา องค์กรก็อยู่ได้” “เราไม่ทำ คนอื่นเขาก็ทำแทน” แล้วมีหลายคนที่พูดแบบนี้ 
1/25/202445 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25661122pm--มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์

22 พ.ย. 66 - มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์ : คนเราถ้ารู้จักมองสิ่งที่มีบ้าง ก็ทำให้เราตัดใจจากสิ่งที่เสียไปได้ ตัดใจทั้งในแง่ที่ว่า ไม่มากลุ้มอกกลุ้มใจกับมัน แล้วก็ไม่ไปคิดที่จะทำอะไรเพื่อจะทำให้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมา ทั้งๆ ที่มีโอกาสที่จะเสียหนักขึ้นกว่าเดิม และถ้าคนเราได้ตระหนักว่า จริงๆ ที่เราเสียไป แม้จะเสียเยอะ แต่สุดท้ายเราก็ยังกำไร เพราะว่าเราเกิดมาก็ตัวเปล่า เสื้อผ้าก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ที่เรามีทรัพย์สินมากมายทุกวันนี้ ทั้งหมดที่มีคือกำไร แม้บางอย่างจะหายไปสูญไป ก็ยังกำไรอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะกำไรน้อยลง หากเราไม่มองสิ่งที่เสียมากเกินไป แต่มาจดจ่อกับสิ่งที่เรามี มันก็ทำให้ทุกข์น้อยลง ยิ่งถ้าเราฝึกจิตจนกระทั่งรู้จักปล่อยวางได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทั้งหมดที่มี สุดท้ายก็ต้องสูญไป ไม่สูญวันนี้ ไม่เสียวันนี้ก็เสียวันหน้า วันที่เราตาย หมดลม ก็ไม่มีอะไรเหลือ ต้องสูญเสียไปหมดแม้กระทั่งลมหายใจ ทุกอย่างที่มี ร่างกาย ก็คืนสู่ธรรมชาติ ทรัพย์สินก็คืนหรือมอบให้กับลูกหลาน หรือว่าแผ่นดิน   ถ้าเรารู้แบบนี้ เราก็ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา มันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้นจะเสียใจไปทำไม ถ้าเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มี อันนี้เรียกว่ามีเป็น พอมีเป็น ถึงแม้เสียไปก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ามีไม่เป็น มันก็จะทุกข์กับการสูญเสีย ซึ่งก็มีแต่จะเป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง 
1/24/202427 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661122--อันตรายในมือเด็ก

22 พ.ย. 66 - อันตรายในมือเด็ก : อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยินมาแล้ว ว่าเดี๋ยวนี้คนติดโซเชียลมีเดียมาก ไม่ใช่เฉพาะเด็กและเยาวชน ผู้ใหญ่ก็ติด หลายๆ คนก็เกิดความทุกข์ เพราะว่าเห็นคนนั้นคนนี้เขาได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปญี่ปุ่น ไปเกาหลี แต่เราต้องมาทํางานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ได้ไปกินอะไรอร่อยๆ เหมือนเขาเลย รู้สึกแย่ รู้สึกว่าชีวิตมันย่ำแย่ แบบนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ แต่มันไม่หนักหนาเท่ากับผลร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่งทําให้หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะว่าเกิดภาวะซึมเศร้าจิตตก ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นความตั้งใจของพวกโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ที่พยายามกระตุ้นให้มีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ทํานองนี้ เพราะว่ามันจะกระตุ้นให้คนติดตาม และก็มีส่วนร่วมแชร์อะไรต่างๆ   เพราะว่าถ้าคนติดตามโซเชียลมีเดียมากเท่าไร เขาก็มีโอกาสที่จะได้ข้อมูลส่วนตัวเอาไปขาย ประโยชน์สารพัด ประโยชน์ทางธุรกิจหรือมิฉะนั้นก็เปิดโอกาสให้ขายโฆษณา เรียกว่าไม่รับผิดชอบ พอมีนโยบายเป็นแบบนี้มากๆ เข้า ก็เลยไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหา   เนื้อหาทั้งหมดนี้ เราก็คงสังเกตว่าบางทีมันมีโพสต์ หรือภาพ หรือคลิปโผล่ขึ้นมาในโทรศัพท์ของเรา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ติดตามแต่มันโผล่ขึ้นมา ซึ่งบางทีก็เป็นภาพลามก เป็นคลิปเอ็กซ์ หรือว่าบางทีก็เป็นคลิปที่น่ากลัวสยดสยอง มันทําได้อย่างไร มันก็มีอัลกอริทึม (Algorithm คือ กระบวนการที่เมื่อนำเข้าข้อมูลใด โปรแกรมจะกำหนดว่าจะต้องได้ผลลัพธ์เช่นนั้น และทำให้เกิดกระบวนการทำวนซ้ำของข้อมูลอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการทำงานของข้อมูลตามที่กำหนดไว้) ที่มันถูกสร้างขึ้นมา   ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อนําเสนอให้กับผู้ติดตาม ผู้ที่เป็นลูกค้า ผู้ที่ใช้ Facebook Instagram และหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อ ผู้ใหญ่ไม่เท่าไร แต่เด็กตกเป็นเหยื่อได้ง่าย 
1/23/202410 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661121pm--ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข

21 พ.ย. 66 - ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข : คำแนะนำ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่หาทุกข์มาทับถมตน’ ‘ไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรมหรือไม่มองข้ามความสุขที่ชอบธรรม’ ‘ไม่สยบมัวเมาในความสุขนั้นหรือไม่ยึดติดในความสุข แม้ชอบธรรมก็ตาม’ รวมทั้ง ‘รู้จักขจัดเหตุแห่งทุกข์’ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยสติเป็นตัวนำ เพราะถ้าไม่มีสติเป็นตัวนำ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำมาทั้ง 4 ประการนี้แม้เราจะเห็นว่าดี ก็ทำไม่ได้ มันก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลงไปตามอารมณ์ หลงไปตามกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจเรื่องสุขและทุกข์ให้ดี และปฏิบัติกับทุกข์อย่างไร ปฏิบัติอย่างไรกับสุขให้ถูกต้อง เราจะรู้เลยว่าสตินี้สำคัญมาก มันจะทำให้เราสามารถปฏิบัติกับสุขและทุกข์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่ทุกข์ไม่เอาอย่างเดียว สุขก็ไม่เอาด้วย เรียกว่าอยู่เหนือสุข อยู่เหนือทุกข์เลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่จะพาให้จิตใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง 
1/22/202429 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661120pm--สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา

20 พ.ย. 66 - สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา : หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดเสมอว่า “นักปฏิบัติต้องเป็นนักฉวยโอกาส” ฉวยโอกาสทุกเวลา ทุกกิจกรรมที่ทำเพื่อการเจริญสติ หรือแม้มีการกระทบ มีการกระทบเกิดขึ้นเกิดอารมณ์ เกิดความโกรธ เกิดความเศร้า เกิดความดีใจ เกิดความเสียใจ ก็เป็นโอกาสของการเจริญสติ อย่างเด็กที่พูดถึง ดีใจก็เห็นมัน เห็นข้างในมันดีใจ เห็นความดีใจ แต่ไม่ใช่ผู้ดีใจ อันนี้เด็กเขาก็รู้เห็นแต่ไม่เข้าไปเป็น แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การปฏิบัติในรูปแบบ ก็ยังเห็นไม่เข้าไปเป็น เห็นความดีใจไม่เป็นผู้ดีใจ เพราะฉะนั้นการเจริญสติแบบจึงเป็นวิธีสากล ยิ่งเราฝึกด้วยการเปิดตา ไม่ปิดตา มันยิ่งมีประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะว่ากิจกรรมส่วนใหญ่เราก็เปิดตาทำทั้งนั้น ตั้งแต่เก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า ข้ามถนน ขับรถ กวาดใบไม้ ล้างจาน เปิดตาทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักทำความรู้สึกตัวในขณะที่เปิดตาสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม มันก็ไม่ยากที่เราจะทำความรู้สึกตัวในขณะที่เราทำกิจกรรมต่างๆ มันเป็นการประยุกต์ที่ง่าย   เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักทำการปฏิบัติให้มันกลืนไปกับชีวิตประจำวัน มันจะไม่มีข้ออ้างเลยว่าไม่มีเวลา ถ้ามันมีข้ออ้างแบบนี้เมื่อไรแสดงว่า มันเป็นเหตุผลของกิเลส เป็นข้ออ้างของกิเลส อาจจะต้องถามตัวเองว่าเรามีเวลาโกรธไหม เรามีเวลาเครียดไหม เรามีเวลาเศร้าไหม กับความโกรธ ความเศร้า เราให้เวลากับมัน แต่ทำไมการเจริญสติ การปฏิบัติ เราจึงไม่ยอมให้เวลากับมัน   และอย่างที่บอกถ้าเราปฏิบัติโดยไม่ใช้รูปแบบ มันไม่เรียกร้องเวลาเลย เพราะว่าทำอะไรก็เอาการปฏิบัติ หรือการเจริญสติสวมทับเข้าไปได้เลย ไม่ว่ากินดื่มเคี้ยวลิ้ม หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำอุจจาระปัสสาวะ ก็เป็นโอกาสในการเจริญสติทำความรู้สึกตัวได้ 
1/21/202427 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661119pm--ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก

19 พ.ย. 66 - ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก : แต่ว่าความคิด อารมณ์ มันไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่เราทำนั่นทำนี่อย่างเดียว อาจจะรวมถึงเวลาเราเจอนั่นเจอนี่ด้วย เจอเสียงดัง เจอเสียงนกร้องที่ไพเราะ หรือว่าเจอคำพูดทั้งคำชมและคำตำหนิ หรือว่าเจอความร้อน เจออากาศหนาว เวลาเจอหรือมีการกระทบแบบนี้ มันก็มักจะมีความคิดเกิดขึ้น ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ หรือว่าบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ก็ให้มีสติเห็นความคิดนึก ซึ่งมันก็ทำให้เราทำ 2 อย่างไปด้วยกันเลย ก็คือทำงานภายนอก ทำงานภายใน ‘งานภายนอก’ คือ การรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง ที่มากระทบ ส่วน ‘งานภายใน’ ก็คือเห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทบนั้น และเช่นเดียวกันเวลาทำนั่นทำนี่ รดน้ำต้นไม้ ล้างจาน หรือว่าเดินไปเดินมา รวมทั้งทำงานทำการที่เป็นเรื่องของอาชีพการงาน ทำครัว ทำอาหาร อันนี้เรียกว่าเป็นงานภายนอก   แต่ว่าขณะที่ทำ ใจก็รับรู้ถึงสิ่งที่ทำ เกิดความรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ รวมทั้งรู้เห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากงานที่ทำหรืออาจจะไม่เกี่ยวอะไรก็ได้ แต่ใจมันคิดโน่นคิดนี่ก็รู้ นี่คืองานภายใน หรือจะเรียกว่าเป็นการรู้ในก็ได้   ถ้าเราขยันหมั่น รู้นอก-รู้ใน ไปด้วยกันเสมอ หรือ ทำงานภายนอก-ทำงานภายใน ไปด้วยกันเสมอ มันก็จะทำให้ฐานใจของเราหยั่งลึก แล้วก็ทำให้ชีวิตของเรามีความมั่นคง ทำงานอะไรมันก็ไปได้ดี แม้จะล้มเหลวแต่ก็ไม่ทุกข์ เอาความล้มเหลว เอาความผิดพลาดเป็นครู มันก็เกิดความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งเป็นงานที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม เพราะว่ามีใจที่มีคุณภาพเป็นตัวขับเคลื่อนหรือตัวกำกับ 
1/20/202429 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25661118pm--ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ

18 พ.ย. 66 - ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ : วิชารู้ซื่อๆ วิชาเห็นไม่เข้าไปเป็น สำคัญมาก จะช่วยทำให้เรารับมือกับสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจได้ อย่างที่บอก การทำความเพียรเพื่อประสบสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถูกใจยากแล้ว แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ การวางใจเป็นกลาง หรือยอมรับสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจเรา วิชานี้สำคัญมาก เพราะสุดท้ายเราก็ต้องเจอไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นฝึกเอาไว้ การเจริญสติไม่ใช่เพื่อให้สงบอย่างเดียว แต่แม้ไม่สงบก็ยอมรับได้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สงบ อยู่กับความเจ็บปวด อยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกใจด้วยใจที่ไม่ทุกข์ รถติดจิตก็ไม่ตก ไม่ว่าเจออะไร คำต่อว่าด่าทอมากระทบใจก็ยังสงบได้ ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีใครว่า ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีเสียงกระทบหู แต่เพราะว่ามีสติต่างหากจึงไม่ปล่อยให้อารมณ์อกุศลมาครอบงำจิต รู้ทันมัน แล้วก็เห็นมัน แล้วก็วางมันลง 
1/14/202431 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25661117pm--เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์

17 พ.ย. 66 - เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์ : แต่ถ้าหากว่ารู้จักไตร่ตรองจนเห็นเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เเล้วก็ปรับแก้ที่ใจเรา บางทีเราไม่จำเป็นต้องมองว่าเสียงระเบิดว่าเป็นเสียงความสุขเหมือนกับเด็ก 3 ขวบคนนั้นก็ได้ แต่ว่าเราอาศัยสติ เวลาเสียงแบบนั้นมันดังกระทบหู ใจกระเพื่อม เห็นอาการของใจที่กระเพื่อม เห็นความตกใจที่เกิดขึ้น แล้วความตกใจมันก็สงบลง ก็จะพบว่า เป็นเพราะใจเราที่มันถลำเข้าไปในความตกใจในอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้ยินเสียงแต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะรู้ทันความตกใจ หรือ รู้ทันอาการของใจที่เกิดขึ้น มันก็ใช้สติช่วยได้เหมือนกัน ใช้สติช่วยทำให้เราไม่ใช่แค่ปล่อยวางอารมณ์ลบที่เกิดขึ้น ซึ่งเท่านี้มันก็ช่วยทำให้ใจเราไม่ทุกข์แล้ว เพราะว่าความตกใจถ้าเราเห็นมัน มันก็ไปครอบงำใจเราไม่ได้   แต่ถ้าเราเห็นต่อไปว่า มันเป็นเพราะเราไปคาดหวังความสงบ ทุกอย่างจะต้องราบรื่น แต่พอมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จึงเกิดความทุกข์ อย่างที่ท่านว่า “ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์” แต่ถ้าไม่ปรารถนา แม้ไม่ได้มันก็ไม่ทุกข์   เพราะฉะนั้นการไม่ได้ มันไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราทุกข์ เพราะเหตุแห่งทุกข์จริงๆ อยู่ที่ความปรารถนาสิ่งนั้น จับสมุทัยให้ถูก แล้วเราก็จะแก้ทุกข์ในใจของเราได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้สิ่งแวดล้อมภายนอก มันเปลี่ยนแปลงหรือถูกใจเรา อย่างที่แซมเขาก็พบความสงบในใจ เพราะเขาไม่ได้เรียกร้องคาดหวังความเข้าใจจากคนอื่น แต่เขากลับมาเปลี่ยนที่ใจเขาเอง
1/13/202430 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661116pm--กล้าผิดไม่กลัวเผลอ

16 พ.ย. 66 - กล้าผิดไม่กลัวเผลอ : ระหว่างเป็นผู้เครียดกับเห็นความเครียดมันต่างกัน แล้วการที่เราจะเห็นความเครียดว่ามันต่างจากการเป็นผู้เครียด เงื่อนไขแรกคือต้องยอมให้มันเครียดก่อน ยอมให้ความเครียดเกิดขึ้นก่อน เราถึงจะเห็นว่ามีความเครียดเกิดขึ้น และเห็นความแตกต่างระหว่างการเห็นความเครียดและการเป็นผู้เครียด อย่างน้อยพื้นฐานต้องมาถึงตรงนี้ และพอเราเห็นแล้ว ความเครียดก็ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะมันเกิดระยะห่าง เราจะเห็นความเครียดก็ต่อเมื่อออกจากความเครียดก่อน แต่ถ้าเป็นผู้เครียดก็คือเข้าไปคลุกวงในแล้ว ไปจมอยู่ในความเครียดแล้ว มันก็ทุกข์ แต่พอเราพาจิตออกจากความเครียด มันก็จะเห็นความเครียด และใจก็จะไม่ทุกข์   และไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์หรือสงบได้ง่ายขึ้น แต่ยังเกิดปัญญาด้วยว่า ความเครียดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นความรู้ที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราเห็นต่อไปว่า ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น มันเป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตรงนี้เรียกว่าปัญญาเริ่มเกิดแล้ว มันไม่ใช่แค่ความสงบ แต่ว่ามันเกิดความสว่างขึ้นในใจด้วย 
1/12/202429 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25661115pm--รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์

15 พ.ย. 66 - รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์ : นักปฏิบัติธรรมบางคนเห็นความโกรธ แต่มองไม่เห็นเบื้องหลังความโกรธคือความอยาก เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ต้องเห็น เราต้องปฏิบัติจนกระทั่งเห็น ไม่ใช่แค่ตัวความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้จิตใจว้าวุ่นหรือว่าเกิดความไม่พอใจ แต่ต้องเห็นตัวการที่มันอยู่เบื้องหลังความไม่พอใจนั้น ทำนองเดียวกัน เวลาเราทำอะไรดีแล้วมีคนชม เราก็ดีใจ เราก็เห็นความดีใจนั้น เห็นความดีใจแล้วก็วาง ไม่ปล่อยให้ใจเคลิ้มกับคำชม อันนี้ดี แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดไปเห็นว่าเบื้องหลังความพอใจคืออะไร เป็นเพราะเรารู้สึกได้หน้าได้ตา เป็นเพราะอัตตามันพองโต เป็นเพราะอยากได้คำชื่นชมสรรเสริญ อันนี้ก็คือกิเลสอีก ก็ให้รู้   ถ้าเราเจริญสติแล้วเรารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แต่ไม่ทะลุถึงกิเลส ถือว่ายังไม่ก้าวหน้าพอ ต้องทะลุไปจนถึงเห็นอะไรที่มันลึกไปกว่านั้น   บางคนมีญาติมายืมเงิน เครียดมาก เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็มีความเครียด แต่ก็มีสติรู้ทันเห็นความเครียด พอรู้แล้วก็วาง สุดท้ายใจก็สงบ ไม่เครียดแล้ว แต่นั่นยังไม่พอ จะดีกว่านั้นถ้าเกิดเห็นว่าที่เครียดเพราะอะไร เครียดเพราะว่ายังมีความตระหนี่ในเงิน ยังเสียดายเงิน ยังมีความหวงแหนในเงิน ตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นกิเลส   ฉะนั้นแค่เห็นความคิด เห็นอารมณ์ยังไม่พอ ต้องเห็นกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์เหล่านั้นด้วย และต่อไปมันจะเห็นลึกไปถึงขั้นว่าจริงๆ แล้วความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันไม่ได้อยู่ที่มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา มันอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การวางใจของเรา อยู่ที่อากัปกิริยาหรือท่าทีของใจเรา ซึ่งถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้ 
1/11/202429 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661114pm--สติมาไว ใจคลายทุกข์

14 พ.ย. 66 - สติมาไว ใจคลายทุกข์ : สติก็เหมือนกัน เราก็ต้องให้โอกาสสติได้ทำงาน คือให้สติระลึกนึกขึ้นมาได้เอง เดินจงกรมไปเรื่อยๆ สร้างจังหวะไปเรื่อยๆ ใหม่ๆ กว่าจะรู้กก็คิดไปสิบเรื่อง แต่ทำไปเรื่อย ทำไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองสามชั่วโมง สี่ห้าชั่วโมง สติก็จะรู้ทันความคิดได้ไวขึ้น รู้ทันอารมณ์ได้ไวขึ้น และเป็นการรู้เอง และพอถึงจุดหนึ่ง แค่คิดยังไม่ทันจบเรื่อง มันก็รู้แล้ว บางทีคิดปั๊บก็รู้ปุ๊บเลย ถึงตอนนั้นก็อดทึ่งไม่ได้ว่า โอ้โหสติทำงานได้อย่างน่าทึ่งมาก เรียกว่าเหมือนปาฏิหาริย์เลยทีเดียว ไม่เคยคิดว่าสติจะทำงานได้เร็วขนาดนี้   เผลอคิดปุ๊บมันรู้ปั๊บเลย รู้แล้ววาง รู้แล้ววางโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องคอยไปดักจ้องความคิด สติทำงานแทน สติบอกเราเองว่า ตอนนี้เผลอไปแล้ว มีความคิดเกิดขึ้นแล้ว มีอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว มันรู้แล้ววาง ทันทีเลย   มันจะถึงภาวะนี้ได้ มาถึงจุดนี้ได้มันก็ต้องยอม อดทนให้สติได้ทำงาน เปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานของเขา แม้จะช้า แต่เราก็ต้องใจเย็น อย่าไปใจร้อน ต้องมีความอดทน แล้วสติก็จะเติบโตและทำงานได้ดีขึ้นๆ ใจเราก็จะเบา ความคิดอารมณ์ก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง 
1/10/202430 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25661113pm--ขุมทรัพย์กลางใจ

13 พ.ย. 66 - ขุมทรัพย์กลางใจ : คนเราเป็นหนี้สติและความรู้สึกตัว โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ป่านนี้เราคงแย่ไปแล้ว หรือแย่กว่านี้ อาจจะประสบอุบัติเหตุขณะขับรถ อาจจะโดนรถชนขณะข้ามถนน หรือว่าอาจจะเผลอไผลไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน จนกระทั่งต้องลงไม้ลงมือทำร้ายกัน หรือเป็นทาสของสิ่งยั่วยุและเย้ายวน เช่น อบายมุขต่างๆ ตัวหนึ่งของการที่เราไม่ตกไปเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็พาตัวมาถึงตรงนี้ได้ ก็เพราะว่าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว แต่ถ้าเรามีสติที่เร็วกว่านี้ ว่องไวกว่านี้ มีความรู้สึกตัวที่แจ่มชัดกว่านี้ เราจะได้พบสิ่งดีๆ อีกมากมายที่มีคุณค่าต่อชีวิต ถึงขั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย   สติจึงเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐมาก เรียกว่าอริยทรัพย์ ไม่ต้องไปแสวงหาทรัพย์ที่ไหน เพราะว่าของดีมีอยู่แล้วในใจเรา อยู่ที่ว่ามารู้จัก แล้วก็ทำให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้น และนี่แหละก็คือสิ่งที่เราควรจะหวังได้จากการปฏิบัติ หรือหวังได้จากการเดินทางมาปฏิบัติถึงที่นี่ 
1/9/202428 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661104pm--ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย

4 พ.ย. 66 - ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย : คนทุกวันนี้เสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เยอะมาก เพราะไปให้ค่า ไปให้ความสำคัญกับมัน อาจจะเป็นเพราะยึดติดในความถูกต้อง หรือยึดติดในมารยาทจะต้องไม่มามีอะไรมากระทบฉัน ยึดติดในความถูกต้องว่า “ฉันมีสิทธิ์ในร่างกายของฉัน อย่ามากระแทกกระเทือกอะไรกับฉัน” ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ เหมือนกับถ้ามีเสียงโทรศัพท์ดังในห้องนี้ ที่จริงก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าไปหงุดหงิดหัวเสียกับมัน เราขาดทุน ฉะนั้นถ้าเรารู้จักวางใจเสียบ้าง ดูแลใจให้ดี อย่าไปเสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กน้อย อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ   ปัญหาคือทุกวันนี้คนเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย อะไรเป็นเรื่องใหญ่ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด เพื่อนบ้านส่งเสียงดังก็เป็นเรื่องใหญ่ ใครทำอะไรไม่ถูกใจขวางหูขวางตาก็เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายหาความสงบเย็นในจิตใจไม่ได้เลย ทั้งที่เวลาในชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ เอาเวลาที่มีอยู่ซึ่งมีคุณค่ามาใส่ใจกับเรื่องสำคัญดีกว่า เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องเล็กน้อยปล่อยมันไปเถอะ อย่าไปเอาถูกเอาผิดกับมันมาก เพราะว่าเราไม่สามารถจะให้ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกต้องได้ 
1/8/202447 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661103pm--เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม

3 พ.ย. 66 - เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม : แต่ว่ามีบางคนที่ฉลาดมีปัญญา การเติมเต็มชีวิตแทนที่จะเอาอะไรต่ออะไรมาสุมมากอง ก็อาศัยคุณธรรมความดีแล้วก็ปัญญา แสงประทีปที่เต็มห้องเปรียบอุปมาหมายถึง ‘ปัญญา’ ส่วนกลิ่นหอมก็หมายถึง ‘ความดีคือคุณธรรม’ ห้องนี้มันก็ชัดอยู่แล้วหมายถึง ‘ชีวิตหรือจิตใจ’ คนเราแทนที่จะไปหาเงินทองชื่อเสียงมาเติมเต็มชีวิตหรือจิตใจ ก็มาแสวงหาคุณธรรม ความดี แล้วก็สติปัญญา ปัญญาในที่นี้หมายถึง ‘การรู้จักตัวเอง’ และ ‘การเข้าใจความจริงของชีวิต’ จนกระทั่งรู้อะไรคือสาระที่แท้ของชีวิต รู้ว่าอะไรคือจุดหมายที่แท้ของชีวิต จนกระทั่งสามารถที่จะรักตัวเองได้ รักตัวเองได้เพราะว่าเห็นคุณค่าของตัวเองหรือภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจเพราะอะไร ภูมิใจเพราะได้ทำความดี การทำความดีก็ทำให้เกิดความสุข เป็นความสุขใจ   นั้นคนเราที่ ‘พร่อง’ หรือ ‘ว่างเปล่า’ เอาเงินทองเท่าไหร่มาเติมก็ไม่เต็ม เพราะมันไม่ได้ทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง ความสุขอย่างแท้จริงมันเกิดจากการที่รู้จักรักตัวเอง เคารพตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รวมทั้งการที่ได้หมั่นทำดี สร้างกุศล จนรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และรวมถึงการได้เข้าถึงความสงบในจิตใจด้วย 
1/7/202427 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25661029pm--แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้

29 ต.ค. 66 - แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้ : อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระสาวกอย่างตัวอย่างที่เล่ามา ใครเขาจะติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไร เราก็อย่าโกรธ อย่าขุ่นมัว อย่าพยาบาท เพราะขืนทำเช่นนั้นอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง และเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คำพูดบางอย่างแม้มันจะเป็นคำหยาบคาย แต่อาจมีประโยชน์ ถ้าเรารู้จักมอง เช่น เอามาเป็นเครื่องสอนใจว่า โลกธรรมก็เป็นอย่างนี้ มีคนชมเราก็ต้องมีคนตำหนิ มีคนชอบก็ต้องมีคนชัง คำต่อว่าด่าทอ หรือว่าความชังที่เกิดจากผู้อื่น มันก็สอนสัจธรรมให้กับเรา แล้วขณะเดียวกันมันก็เป็นเครื่องฝึกสติของเรา ให้รู้จักไวในการรู้ทันเมื่อมีความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็ฉลาดในการปล่อยวาง   ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ใจเราไม่ทุกข์ แถมมีความเจริญงอกงามมากขึ้น สามารถที่จะรับมือกับความทุกข์ที่อาจจะรุนแรงหนักหนาสาหัสในวันข้างหน้าได้   เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราวางใจแบบนี้ได้ถูก ไม่ใช่เราจะพบความสงบในใจเมื่ออยู่วัด แม้ออกไปข้างนอก หรือกลับไปภูมิลำเนา ถ้าเป็นพระสึกหาลาเพศไป หรือเป็นนักปฎิบัติที่กลับบ้านไป ไปทำงาน ไปสู่ครอบครัว ก็ยังสามารถพบความสงบได้ เป็นความสงบที่ไม่ได้เกิดจากสถานที่ แต่เป็นความสงบที่เราสร้างขึ้นมาในใจ จากการที่เรารู้จักฝึกตนจนสามารถรับมือกับความผันผวนปรวนแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่มากระทบได้ มันจะมากระทบตา กระทบหู กระทบกายอย่างไร ใจไม่กระเพื่อม จิตไม่กระเทือน   นี้คือความสงบที่เราสามารถจะสร้างขึ้นได้ในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปหาที่วัด หรือแม้จะอยู่วัด มีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน เราก็มีความสงบได้ อันนี้แหละก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะฝึกได้สร้างได้ จากการที่เรารู้จักฝึกตน รวมทั้งเรียนรู้ด้วยการฝึกจากสิ่งที่มากระทบต่างๆ มากมาย 
1/4/202430 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661028pm--อุบายสู่ความพอดี

28 ต.ค. 66 - อุบายสู่ความพอดี : แต่เวลาคนมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนอีกแบบหนึ่งว่าในทุกข์ หาสุขพบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ คนส่วนใหญ่ติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยเตือนว่า ระวัง ! มันมีทุกข์รออยู่นะ หรือว่าทุกข์กำลังอยู่กับเราในขณะนี้แล้วเพื่อไม่ให้ติดสุข แต่คนที่มีทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าก็สอนว่าอย่าจมในทุกข์ ให้เห็นว่าในทุกข์ มันมีสุข อันนี้เป็นวิธีการสอนที่คนอาจจะไม่เข้าใจ มักจะมองพุทธศาสนาว่ามองลบ ที่จริงท่านก็มองบวกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยชี้ให้เห็นทุกข์ แต่คนที่มีทุกข์พระพุทธเจ้าก็สอนให้มองว่ามันมีสุขอยู่ด้วย ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วย   แม้จะถูกต่อว่าด่าทอก็ยังดีกว่าถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหิน ถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหินก็ยังดีที่เขาไม่ทำร้ายด้วยท่อนไม้ ทำร้ายด้วยท่อนไม้ก็ยังดีที่เขาไม่เอาของแหลมมาแทง เอาของแหลมมาแทงก็ยังดีที่เขาไม่ฆ่าให้ตาย และเขาฆ่าให้ตายก็ยังดีที่ไม่ต้องไปหาอาวุธมาทำร้ายตัวเอง อันนี้เป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระปุณณะ   พระปุณณะบอกว่า เจออะไรก็ดีทั้งนั้น ถูกเขาด่าว่าก็ดี ถูกเขาเอาหินขว้างก็ดี ถูกเขาเอาไม้มาฟาดก็ดี ถูกเขาเอาศาสตรามาทิ่มแทงก็ดี ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าดีแล้ว ถือว่าเอาตัวรอดได้ อันนี้คือตอนที่พระปุณณะไปเมืองสุนาปรันตชนบทซึ่งคนเมืองนี้ดุร้ายมาก ซึ่งเป็นการมองบวก ชี้ให้เห็นว่า เวลาเจอทุกข์ ถ้าเรารู้จักมองบวกบ้าง มันก็ยังไม่จมในทุกข์   แต่เป็นเพราะคนเราชอบเพลินในสุข พระพุทธเจ้าจะเตือนให้เห็นว่าสุขที่กำลังเพลิดเพลิน มันทุกข์ทั้งนั้น “เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว” แต่สำหรับคนที่จมอยู่ในทุกข์ พระพุทธเจ้าก็จะเตือนว่า “ในทุกข์ หาสุขพบ” 
1/3/202430 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661027pm--ยกใจให้สูงขึ้น

27 ต.ค. 66 - ยกใจให้สูงขึ้น : เราก็จะเห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นกันเยอะเลย ซึ่งมันทำให้หลายคนก็รู้สึกว่า ทำไมรู้ธรรมะเยอะ ฟังธรรมะก็มาก แต่ทำไมยังเห็นแก่ตัวอยู่ ทำไมยังขี้โกรธอยู่ อันนี้ก็เพราะว่าหัวอยู่อุดมแล้วแต่ใจยังประถมอยู่เลย หรือมันยังมีช่องว่างระหว่างหัวกับใจมาก ช่องว่างระหว่างความคิดกับความรู้สึก เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาทั้งหัวทั้งใจ ความรู้ก็ต้องมี เข้าใจธรรมะขั้นสูง แต่ก็ต้องฝึกใจให้มีความเห็นแก่ตัวน้อย มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักพอใจสิ่งที่มียินดีสิ่งที่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากเลยสำหรับธรรมะ แต่พื้นฐานจำเป็น หรือถึงแม้ว่าความรู้อาจจะยังน้อย แต่ว่าถ้าหากว่าพื้นฐานที่ฝึกจิตฝึกใจพัฒนา   หมายความว่าหัวอาจจะยังอยู่ขั้นมัธยม แต่ว่าใจอาจจะพัฒนาไปถึงระดับอุดมแล้ว อันนี้ยิ่งประเสริฐเลย ฉะนั้นเวลาฝึกธรรมะหรือสอนธรรมะ ต้องตระหนักว่าทำอย่างไรจะให้ใจมันยกระดับสูงขึ้น จนกระทั่งมันประสานกับหัว หรือว่าอารมณ์ความรู้สึกประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความคิด คิดอย่างไร เห็นอย่างไร ใจก็คล้อยตามโน้มไปทางนั้น ไม่ใช่ว่าความคิดความเห็นไปทางหนึ่ง ใจไปอีกทางหนึ่ง   เพราะเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งง่ายๆ เช่นว่า ก็รู้เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี แต่ก็ยังห้ามใจไม่ได้ ยังหวงแหนยังโหยหาสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็เหมือนกันเป็นช่องว่างระหว่างหัวกับใจ อย่างที่เขาเรียกว่าดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้ 
1/2/202428 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25661026pm--มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น

26 ต.ค. 66 - มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น : สอนคนอื่นได้ แต่ว่าสอนตัวเองไม่ได้ ในขณะที่อยากให้คนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทั้งที่ตัวเองมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เพราะว่าการที่มาเดินจงกรม สร้างจังหวะ มันอาจจะน่าเบื่อในช่วงแรก แต่ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาซึ่งเทียบไม่ได้กับการมานั่งอ่านหนังสือ หรือว่าต้องเลิกเล่นเกม การมาทำอะไรที่ไม่คุ้นไม่เคย มาทำอะไรที่ไม่ชอบ สำหรับเด็กเป็นเรื่องที่หนักกว่า เราที่เป็นผู้ใหญ่เรายังทำไม่ได้แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไปเรียกร้องให้เด็กซึ่งมีวุฒิภาวะน้อย ประสบการณ์น้อย ทำอะไรต่ออะไรหลายอย่างซึ่งมันดี แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย ฉะนั้นก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลงคนอื่น ต้องกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน 
1/1/202426 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661025pm--ทำดีได้ดีจริงหรือ

25 ต.ค. 66 - ทำดีได้ดีจริงหรือ 
12/25/202328 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661024pm--ความสงบสยบปัญหา

24 ต.ค. 66 - ความสงบสยบปัญหา : รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เสีย เขาก็หาว่าแก้ตัว อาจจะกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เลยคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือนิ่งเสีย อย่างมากก็พูดเพียงแค่ “อ๋อ อย่างนั้นเหรอ” ก็ถือว่าท่านมีสติ มีปัญญา และมีความหนักแน่น เพราะว่ารู้ดีว่า อธิบายชี้แจงไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้นิ่งเสียดีกว่า อย่างที่มีภาษิตไทยว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในกรณีท่านฮาคุอิน ท่านก็เห็นแล้วว่าพูดไปไม่มีประโยชน์ ท่านก็ดี ถูกด่าท่านก็นิ่ง เวลาได้รับคำชมท่านก็นิ่ง คือไม่ยินดียินร้ายกับคำต่อว่าด่าทอ และคำสรรเสริญ อันนี้ก็เป็นลักษณะการมีอุเบกขาของท่าน จากในกรณีนี้ท่านเห็นแล้วว่า การนิ่งเวลาถูกใส่ร้ายหรือถูกด่า มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด   ซึ่งคนธรรมดาก็อาจจะไม่เห็นอย่างนั้น เพราะว่าอดรนทนไม่ได้ “ก็ฉันไม่ได้ทำ” หรือว่า “กูไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ก็ต้องโต้เถียง ก็เกิดเรื่องทะเลาะยืดยาว ไม่มีประโยชน์ อันนี้เพราะขาดสติแล้วก็ขาดปัญญา แต่ว่าท่านฮาคุอินท่านมีสติ อัตตาท่านก็น้อย ใครจะว่าท่านยังไง ท่านก็เฉย ท่านรู้ว่า การนิ่งมันดีกว่า
12/24/202331 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25661023pm--ธรรมสองระดับ

23 ต.ค. 66 - ธรรมสองระดับ : จะเห็นได้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีการสอนสองระดับอยู่เสมอควบคู่กันไป ระดับแรกท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่าขังคอก ให้อยู่ในกรอบ กรอบของศีลธรรม กรอบของความถูกต้อง รู้จักบังคับกดข่มอารมณ์ กดข่มอารมณ์เอาไว้ รู้จักหักห้ามใจ แต่พอถึงระดับหนึ่งท่านสอนให้ชี้ทางให้ผิดไป รู้จักปล่อย รู้จักวาง หรือว่าให้รู้ทันความคิด ให้เห็นความจริงว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา ให้เข้าใจเรื่องอนัตตา ในขณะที่ระดับพื้นฐาน ท่านก็สอนให้รักตน รักตนไว้ก่อน เช่นเดียวกันในระดับพื้นฐานท่านก็สอนให้รู้จักละชั่ว หรือเว้นชั่วและทำดี ในโอวาทะปาติโมกข์สองข้อแรกเราคุ้นกันดี พอถึงข้อสามท่านสอนว่าให้รู้จักทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็คือไม่ใช่แค่ทำดีอย่างเดียวแต่ต้องรู้จักทำจิตหรือทำใจด้วยจึงจะได้เข้าถึงสัจธรรม ทำดีมันก็ยังเป็นระดับจริยธรรมซึ่งก็ยังคงอยู่ในระดับสมมติ ในระดับโลกียะ แต่พระพุทธศาสนาไปไกลกว่านั้น สอนเรื่องโลกุตระ สอนเรื่องปรมัตถสัจจะด้วย ไม่ใช่แค่ติดอยู่กับสมมติสัจจะ ยังติดอยู่กับดีชั่ว แต่ว่าต้องรู้จักไปให้พ้นดีชั่ว เพราะว่าสุดท้ายมันก็ยังเป็นสมมติอยู่ ต้องเข้าถึงปรมัตถสัจจะ เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าโลกุตระซึ่งมีนิพพานเป็นเป้าหมายไม่ใช่แค่ความร่ำรวยในชาตินี้ หรือการไปสุคติ หรือการเข้าถึงสวรรค์ในชาติหน้า   เราต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งสองระดับ และนำมาใช้ให้ถูก ในบางครั้งเราก็อาจจะต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่า ถ้ายึดมันถือมั่นมากไปมันก็เป็นโทษ ก็ต้องสามารถที่จะออกจากกรอบนั้น จนกระทั่งได้เห็นหรือเข้าถึงสภาวะที่เป็นการปล่อยวาง   ถ้าเราเข้าใจธรรมะสองระดับที่ว่านี้ การปฏิบัติก็จะถูกต้อง และเวลาสอนคน เราก็จะสอนได้ถูกต้องสมกับภูมิหลังหรืออินทรีย์ของเขา
12/23/202326 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661022pm--ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ

22 ต.ค. 66 - ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ : ความทุกข์มันเกิดขึ้นเมื่อใจเราไปร่วมมือกับเขา ถ้าเกิดว่าใจเราไม่ไปร่วมมือ ความทุกข์นั้นจะเกิดขึ้นได้เฉพาะภายนอก กับร่างกาย กับทรัพย์สิน ถ้าเกิดว่าเราเห็นตรงนี้ ว่าความโกรธมันเป็นภัยแก่ตัวเราเอง มันก็จะเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะจัดการกับความโกรธ แล้ววิธีจัดการกับความโกรธ มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสติรู้ทัน จะผลักไสกดข่มมันก็ไม่ได้ มันก็หลบ มันก็ซ่อน มันก็กลายเป็นเก็บกด ต้องรู้ทันนะ เห็นมัน เราก็แค่ดูมันเฉยๆ ดูมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงกับใช้คำว่าให้ทำยิ่งกว่านั้นคือ “โอบกอด”   โอบกอดความโกรธ โอบกอดด้วยสติ โอบกอดด้วยความอ่อนโยน ท่านเปรียบเหมือนกับว่าแม่กำลังทำงานอยู่ดีๆ ทารกลูกน้อยเกิดร้องไห้ขึ้นมา แม่รีบทิ้งงานต่างๆ เลยเพื่อมากอดทารกน้อยอย่างอ่อนโยน ท่านติช นัท ฮันห์ บอกว่าความโกรธนั้นเปรียบเหมือนกับทารกน้อย ที่ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องโอบกอดมันด้วยความอ่อนโยน ท่านพูดถึงขนาดนี้เลย   แต่ที่จริงแม้เพียงแค่เห็นมันเฉยๆ รู้ทันมัน มันก็เหมือนกับกองเพลิงที่พอไม่มีใครเติมฟืนเติมไฟให้มัน มันก็ดับเอง ตรงข้ามถ้าไปกดข่มมัน ไปผลักไสมัน ไปพยายามตัด พยายามห้ามมัน มันก็ยิ่งลุก ยิ่งกลายเป็นการต่ออายุ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ ถ้าเราไม่ใช้การให้อภัยหรือการแผ่เมตตา ก็ต้องมีสติที่จะรู้ทันความโกรธ แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันหรือยอมให้มันครองใจ หรือหวงแหนมันเอาไว้ในใจ
12/22/202328 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25661021pm--สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา

21 ต.ค. 66 - สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา : ถ้าเราดูแลใจดี ไม่ปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ไม่ปรุงแต่งเป็นภพ ชาติ มันก็ไม่เกิดชรา มรณะ มันก็ไม่เกิดทุกข์โทมนัส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก การที่เราพบความจริงว่า ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อเกิดมีการกระทบ แต่ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมีการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งในทางลบ หรือหรือว่ารวมไปถึงกิริยาอาการอย่างอื่น เช่น ผลักไส ยึดติดถือมั่น หรือที่สำคัญคือการปรุงแต่งตัวกูของกูขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดทุกข์ แปลว่าอะไร แปลว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ได้ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ ถ้ารู้ถ้าเห็นทุกข์อยู่ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ เราจะแย่เลยเพราะว่าเราต้องเจอกับรูปรสกลิ่นเสียงที่ไม่ดีมากมายตลอดทั้งวัน ตลอดชีวิต   แต่ถ้าเกิดว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การปรุงแต่ง มันก็หมายความว่า เรามีความสามารถที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันปรุงแต่งไปในทางลบ รวมทั้งไม่ผลักไส ไม่ยึดติดถือมั่น หรือถ้าจะปรุงแต่งก็ปรุงแต่งในทางบวกอย่างตัวอย่างที่ยกมา ซึ่งอันนี้มันอยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก ว่าเราจะเลือกปรุงแต่งในทางไหน
12/21/202330 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661020pm--ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้

20 ต.ค. 66 - ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้ : จริงๆ ถ้าหากว่ามีสติ มีความรู้สึกตัว ทันทีที่เกิดผัสสะมีการเห็น มันก็มีแต่การเห็น แต่มันไม่มีผู้เห็น เมื่อเสียงกระทบหู เกิดการได้ยิน ก็มีแต่การได้ยิน ไม่มีผู้ได้ยิน แต่คนเราใหม่ๆ จะให้มีสติประเภทว่าไม่มีผู้เห็น ไม่มีผู้ได้ยิน นี่มันยาก แต่อย่างน้อยเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมา ความคิด เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย เกิดความพอใจไม่พอใจ เกิดความโกรธ ก็มีแต่อารมณ์นั้น แต่ไม่มีผู้ยินดี ไม่มีผู้ชอบ ไม่มีผู้โกรธ คือมันไม่มีการปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นเจ้าของอารมณ์นั้น อันนี้ก็ต้องอาศัยสติที่เห็น ไม่เข้าไปเป็น มีความโกรธ ไม่มีผู้โกรธ มีความยินดี ไม่มีผู้ยินดี มีความคิดเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้คิด ถ้ามาเห็นตรงนี้ได้อย่างทันท่วงที ใจก็จะเป็นปกติได้ ใครเขาจะด่าว่าอย่างไร ใจก็เป็นปกติ จะร้อนจะหนาวอย่างไร ใจก็เป็นปกติ แม้มันจะมีการเผลอยินดียินร้ายเกิดขึ้น แต่ว่าใจเป็นปกติ   และตรงนี้แหละเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ หรือเป็นเครื่องวัดว่าเราปฏิบัติถูกหรือไม่ ก็คือเมื่อมีการกระทบ เมื่อเกิดผัสสะแล้ว ใจเรายังเป็นปกติได้ ไม่ใช่พอมีใครพูดไม่ถูกหู มีใครนินทากระทบหู เกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด มีเสียงดังมากระทบหูก็ไม่พอใจ คนที่จิตใจกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงเมื่อมีผัสสะ อันนี้เรียกว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเพราะว่าไม่ได้เห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง   เพราะฉะนั้นคำว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย ว่าเราปฏิบัติได้ถูกต้องไหม เราเห็นทัน เรารู้ทันไหม หรือเราเห็นมันหรือเปล่า นี่แหละคือการปฏิบัติที่สำคัญ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย มันไม่ต้องใช้ความรู้หรือว่าความคิดพิสดารอะไรมาก มันเป็นธรรมะที่เข้าใจง่าย ขอเพียงแต่ปฏิบัติให้ถูกเวลา ให้ถูกกรณีก็แล้วกัน
12/20/202326 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25661019pm--โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา

19 ต.ค. 66 - โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา : กามสุขมันก็มีหลายระดับ อย่างหยาบๆ ก็เหล้า การพนัน ยาเสพติด จะเลิกหรือเป็นอิสระจากความสุขอย่างหยาบๆ นี้ได้ก็ต้องเจอความสุขที่หยาบน้อยกว่า หรือประณีตกว่า เช่น บางคนที่เลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากการทำงาน ความสุขจากการเล่นกีฬา ความสุขจากมิตรภาพ ความสุขจากเพื่อนฝูง หรือความสุขจากสมาธิ บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้นั่งสมาธิแล้วเกิดสุข บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากสิ่งอื่น จากการทำความดี จากการทำสิ่งที่มีประโยชน์ ความสุขจากมิตรภาพ ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อน จากชุมชน มันก็เลิกได้ คือพวกนี้ต้องอาศัยการลงทุนลงแรงด้วย ไม่ใช่ว่าอาศัยความอยากอย่างเดียว อยากอย่างเดียวแต่ว่าไม่ไม่ลงทุนลงแรง ไม่ประกอบเหตุ มันก็ไม่เกิด   เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากจะเลิก ลด ละบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยเสพเคยติด บางคนอาจจะติดหรือว่าหลงในเงินเพราะว่าเงินเป็นที่มาของกามสุข หลายคนหลงในเงินจนกระทั่งยอมทุจริตเพื่อจะได้มีเงินไปซื้อโน่นซื้อนี่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีความสุขจากสิ่งอื่นมาแทนที่ มันก็ยังวนเวียนอยู่กับการทุจริตอยู่นั้นแหละ ต่อเมื่อพบว่าความสุขบางอย่างที่มันดีกว่าเงิน ดีกว่าสิ่งเสพ จึงจะเป็นอิสระได้ เพียงแค่จะอดใจ ไม่ข้องเกี่ยว มันจะอดได้ไม่นาน เหมือนกับอดเหล้า อดเหล้าอดได้ไม่นานจนกว่าจะเจอความสุขอย่างอื่นที่มันดีกว่าถึงจะเลิกได้ เพราะจิตไม่โหยหาอีกแล้ว
12/19/202328 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25661018pm--สกัดตัวตนให้เบาบาง

18 ต.ค. 66 - สกัดตัวตนให้เบาบาง : อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับการสลักเสลาสกัดเอาสิ่งที่มันไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะถ้าเราไม่ทำ ไม่สลัดหรือละวางความยึดมั่นถือมั่น อย่าว่าแต่ความยึดมั่นในตัวกูของกูเลยที่เป็นอัตตวาทุปาทาน แม้กระทั่งความยึดมั่นในทรัพย์ ความยึดมั่นในสิ่งของต่างๆ ถึงเวลาตายมันทรมานมาก เพราะมันยอมรับความสูญเสีย มันยอมรับการที่ต้องจากพรากสิ่งเหล่านั้นไปไม่ได้ และอย่างน้อยถ้าเราได้ตระหนักว่า เมื่อถึงวันที่เราต้องตาย เราต้องหมดตัวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง ฝึกสละตั้งแต่ตอนนี้ แต่ที่จริงถ้าหากว่าทำตั้งแต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ว่าจะไปมีความสงบในเวลาสุดท้าย แต่ว่าทำตอนนี้ก็พบกับความสงบ ความโปร่งเบาในเวลานี้ ไม่ต้องไปรอถึงตอนที่จะหมดลม แต่ว่าความสงบตอนที่จะหมดลม มันก็เป็นหลักประกัน มันเป็นสิ่งที่แน่นอนถ้าหากเรารู้จักสลัด รู้จักวางสิ่งต่างๆ ออกไปจากใจให้มากที่สุด   เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าชีวิตที่พึงปรารถนา คือชีวิตที่เป็นอุดมคติในพุทธศาสนา คือชีวิตที่มีให้น้อย ปล่อยวางให้มาก สลัดออกไปจากใจให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติอยู่ ว่าเราปฏิบัติไปแล้วความโลภน้อยลงไหม ความเห็นแก่ตัวน้อยลงไหม ความโกรธน้อยลงไหม ความยึดมั่นถือมั่นในหน้าตา ในทรัพย์สมบัติน้อยลงหรือเปล่า   หรือพูดอย่างถึงที่สุดคือว่าความยึดมั่นในตัวกูน้อยลงไหม ถ้าไม่น้อยลง ถึงแม้จะเข้าวัดบ่อย ทำบุญมาก มันก็ยังไม่เรียกว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แล้วก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเข้าถึงชีวิตที่พึงปรารถนาในทัศนะของชาวพุทธ
12/18/202329 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25661017pm--เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว

17 ต.ค. 66 - เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว : ไม่ใช่ว่าดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ ทำสิ่งตรงข้ามกับความถูกความเหมาะความควร รวมทั้งเมื่อถึงเวลาสูญเสียพลัดพรากก็ทำใจได้ ไม่ใช่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น รู้ทั้งร้อยรู้เต็มที่เลย แต่พอสูญเสียแม้จะเล็กน้อย เช่นเงินหายไม่กี่ร้อยก็โมโหเสียดาย อันนี้เรียกว่าเป็นพุทธที่หัว แต่ว่าไม่ได้เป็นพุทธที่ใจ คือทำใจไม่ได้ ทั้งที่รู้หมดว่าควรปล่อยควรวาง แต่ว่าทำใจไม่ได้ ถ้าเราฝึกพัฒนาอารมณ์ พัฒนาความรู้สึก เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ใจมันก็พลอยคล้อยตามไปด้วย มีอะไรสูญเสียพลัดพรากมันก็ไม่เสียอกเสียใจปล่อยวางได้ ไม่ปรุงแต่งให้กลายเป็นความโกรธ หรือเป็นความโศกความเศร้า   เพราะฉะนั้น เรื่องของการสร้างความสมดุลให้เกิด ระหว่างความคิดและอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นสิ่งจำเป็น อย่าพัฒนาแต่ความคิดหรือว่าอย่าเน้นแต่หัว แต่ให้พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกหรือเน้นเรื่องใจด้วย เพื่อให้มันสมดุลกัน
12/17/202328 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25661016pm--อย่าให้มานะครองใจ

16 ต.ค. 66 - อย่าให้มานะครองใจ : เราก็ต้องพยายามรู้เท่าทัน เวลาอัตตาหรือมานะ มันบงการจิตใจของเรา อยากให้เราโชว์ อยากให้เราอวด เราก็อย่าไปหลงเชื่อทำตาม ต้องขัดขืนมันบ้าง ที่จริงการที่มีอัตตาฟูฟ่องบ้างมันก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าอัตตาติดลบมันก็แย่ แต่ถ้าปล่อยให้อัตตาครองใจมากไป มันก็จะกลายมามีอำนาจเหนือเรา เราก็จะพลอยแย่ไปด้วยเพราะว่าเราต้องคอยเลี้ยงมัน มันเหมือนกับว่ามีปีศาจที่ต้องคอยปรนเปรอมันอยู่เสมอ ถ้าไม่ปรนเปรอมันด้วยการตามใจอัตตา ตามใจกิเลส มันก็จะอาละวาดโวยวาย แต่ถ้าปล่อยให้มันครองใจ บงการชีวิตเรา สุดท้ายเราก็ไม่เป็นผู้เป็นคนเหมือนกัน   เพราะฉะนั้นทางที่ดี เราก็พยายามระมัดระวัง อย่าให้มันครองจิตครองใจ หรือบงการจิตใจเรามาก รู้เท่าทันและขัดขืนมันบ้าง หัวเราะเยาะใส่มันบ้าง ให้กลับมามีสติ มีความรู้สึกตัว เพราะถ้ามีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวตนหรือตัวกูก็จะมีอำนาจมีอิทธิพลน้อย 
12/16/202328 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661015pm--ความทุกข์มีประโยชน์

15 ต.ค. 66 - ความทุกข์มีประโยชน์ : คนเราจะมีสติรู้ทันความคิด มีสติรู้ทันความหลงได้ก็ต้องยอมให้มีความคิดความหลงเกิดขึ้น จะรู้ทันความโกรธก็ต้องยอมให้ความโกรธมันเกิดขึ้น แล้วก็เรียนรู้จากความโกรธ เรียนรู้จากความหลง เรียนรู้จากความฟุ้งซ่าน ที่จริงความโกรธความฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าเป็นเพราะเราไม่คิดจะเรียนรู้จากมัน ฉะนั้นคนที่ยิ่งโกรธเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นคนหงุดหงิดเจ้าอารมณ์มากเท่านั้น แต่ถ้าเรารู้จักใช้มันเอามาเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติ ยิ่งมันเกิดขึ้นเราก็ยิ่งเชี่ยวชาญชำนาญในการรู้ทัน แล้วก็รู้ทางของมัน จับทางมันได้ว่ามันจะมาอย่างไร ก็ทำให้มันมีอิทธิพลครองจิตครองใจเราน้อยลง   คนเราถ้าไม่เรียนรู้จากอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจในระหว่างปฏิบัติ มันก็สูญเปล่านะ แต่ถ้าเราเรียนรู้จากมัน เราก็จะเกิดปัญญา สติเราก็จะงอกงาม แล้วเราก็สามารถจะเอาสติและปัญญานี้มาใช้ในการใคร่ครวญ เวลามีความทุกข์เกิดขึ้น มันจะไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติในชีวิต แต่มันจะกลับทำให้เราเกิดปัญญา แล้วก็สามารถจะพาจิตพาใจผ่านความทุกข์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้ 
12/15/202326 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25661014pm--กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน

14 ต.ค. 66 - กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน : เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก อันนี้ก็คือไปรู้ทันความคิด รู้ทันหรือรู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น คือมักจะเกิดจากการที่มีอะไรมากระทบ เช่นเสียงมากระทบหูเกิดความไม่พอใจ ลมเย็นมากระทบกายเกิดความยินดี ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่มีการกระทบ หรือมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า รุ้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอสิ่งกระทบ คนเราวันทั้งวันก็มีแค่ 2 อย่าง ถ้าไม่ทำนู่นทำนี่ ก็เจอนั่นเจอนี่ ระหว่างที่ทำถ้าทำด้วยกาย ก็รู้กายเคลื่อนไหว แล้วเมื่อเจอนั่นเจอนี่ เจอคำพูดของคน เจอการกระทำบางอย่างของคนรอบข้าง มีความยินดีบ้าง มีความยินร้ายบ้าง มีความพอใจ มีความไม่พอใจ มันก็รู้ กินอาหารอร่อยเกิดความยินดีก็รู้ อาหารไม่อร่อยเกิดความไม่พอใจก็รู้ อันนี้เรียกว่า รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึก หรือว่ารู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอผัสสะ หรือเจอการกระทบ   ถ้าทำได้ 3 ข้อนี้ ก็เรียกว่าเป็นการเจริญสติ สามารถทำได้ทั้งวันและทำได้ทุกที่ แล้วจะทำให้ชีวิตเรา จิตใจเรามีความโปร่งเบามากขึ้น มีความทุกข์ก็สามารถที่จะเห็นว่า ทุกข์มันเกิดจากใจ เกิดจากการยึดติดถือมั่น เกิดจากการปล่อยให้กิเลสมาครองใจ เกิดจากการที่ไปแบกสิ่งต่างๆ เอาไว้ อาจจะเป็นอดีต หรือเรื่องราวอนาคต หรือความคาดหวัง   แล้วก็รู้ว่า ที่ทุกข์นี้ก็เพราะใจแท้ๆ หรือทุกข์เพราะหลง พอใจมันไม่หลง พอใจมีสติ มันก็หายทุกข์ ก็เหมือนกับการกินข้าว กินข้าวทำให้หายทุกข์กาย หายหิว ส่วนการเจริญสติก็ทำให้หายทุกข์ใจ ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต 
12/14/202326 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661013pm--อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด

13 ต.ค. 66 - อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด : ความตายมันทำให้ความทุกข์ที่เคยเจอทั้งมวลนั้น มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย และดังนั้นหลายคนซึ่งโชคดีไม่ตายเพราะมีคนมาช่วย เขามาได้คิดเลยว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่คอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย เพราะว่าตอนนั้นแหล่ะที่ได้เจอกับความตายแบบใกล้ชิดมาก ความตายทำให้คนได้ตระหนัก ว่าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรามีเราเจอ มันเล็กน้อยมาก เพราะไม่มีทุกข์ใดที่มันยิ่งใหญ่กว่าความตาย โดยเฉพาะสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากจะมีชีวิตให้ยืนยาว และหลายคนทั้งที่อยากจะตาย จึงโดดลงมาจากสะพาน แต่ว่าพอได้รับการช่วยชีวิตนั้น กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมากขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะรู้ว่าสิ่งต่างๆที่เคยยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งเกิดความผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ คับแค้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย   อย่างนี้เรียกว่าเป็นเพราะโชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ หรือเป็นเพราะมีคนช่วยเอาไว้ แต่หลายคนที่มาได้คิดตอนกำลังจะกระทบพื้นน้ำ แต่ว่าคนช่วยไม่ทัน อันนั้นก็เรียกว่าน่าเสียใจ   แต่ว่าคนเราไม่ต้องรอให้เจอความตายใกล้ตัว ไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าพบอุบัติเหตุ ถ้าเรานึกถึงความตายเป็น ก็จะช่วยทำให้เราได้คิดว่าเราทำอะไรที่ควรทำ และเมื่อถึงเวลา เราจะได้ไม่มีความรู้สึกผิดกับชีวิตที่ผ่านมา 
12/13/202330 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661012pm--อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส

12 ต.ค. 66 - อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส : เหตุผลมันสามารถจะใช้ไปในทางที่ส่งเสริมคุณธรรม ความดีก็ได้ หรือใช้ไปในทางที่ส่งเสริมกิเลส หรือทำความชั่วก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่รู้ทันกิเลส เราก็จะเชื่อเหตุผลของมัน ก็เหมือนกับคนที่มีเหตุผลในการทุจริตคอรัปชั่น เหตุผลดีทั้งนั้นแหละ แต่หลายคนก็มีเหตุผลที่ทำให้ไม่ทำการทุจริต เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุผล จริงๆ แล้วมันอยู่ที่การรู้จักใช้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นข้ออ้างในการทำชั่วก็ได้ หรือสนองกิเลสก็ได้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นแรงกระตุ้น ให้ทำความเพียรก็ได้   อย่างเช่นเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต ไม่ใช่ว่าคนไม่รู้นะว่าในที่สุดเราก็ต้องตาย แต่บางคนหรือจำนวนมากเอามาเป็นข้ออ้างว่าในเมื่อฉันจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นฉันขอสนุกสนานให้เต็มที่ ขณะที่บางคนเห็นว่าชีวิตมันสั้น ระลึกถึงความตายเสมอ ก็เอามาใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล   คนทุกวันนี้ มีความฉลาดในการคิด เพราะฉะนั้นจะมีความสามารถในการคิดหาเหตุผล เราก็ต้องรู้จักจำแนกแยกแยะ ให้ได้ว่าเหตุผลที่มันเกิดขึ้นมาในหัว มันเป็นเหตุผลของกิเลส หรือเป็นเหตุผลของคุณธรรม คนที่มีธรรมะก็จะใช้เหตุผลเพื่อส่งเสริมคุณธรรม เพื่อรับมือกับคำต่อว่าด่าทอ ด้วยใจที่สงบไม่โกรธ เจอปัญหาก็ไม่วิตกกังวล เพราะรู้ว่าถ้ามันแก้ได้ จะกังวลไปทำไม แล้วถ้ามันแก้ไม่ได้ กังวลไปแล้วมีประโยชน์อะไร   แต่คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทันกิเลส หรือตกอยู่ในความหลง มันก็จะหลงเชื่อเหตุผลอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้ทุกข์หนักขึ้น หรือไม่ก็แย่กว่านั้น คือเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว หรืออาจจะทำให้พาชีวิตตกต่ำย่ำแย่ เช่นปัญหามันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปกินเหล้าย้อมใจดีกว่า ไปหาอบายมุขดีกว่า จะได้ลืมๆ จะได้ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร จะได้ไม่ทุกข์ ไม่เครียด ไม่กลุ้ม ก็ว่าไปทางโน่นเลย แต่ถ้าเราใช้เหตุผลได้ถูกต้อง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องวิตกกังวล เพราะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
12/11/202326 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ

11 ต.ค. 66 - อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย   เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่   ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว   พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
12/10/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661010pm--อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง

10 ต.ค. 66 - อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง : การปฏิบัติแบบนี้ “อย่าไปกลัวหลง” บางคนกลัวหลงมาก ก็เลยพยายามไปบังคับจิต ไปจ้องดูจิต เหมือนกับถ้าเราจะขี่จักรยาน ขี่ไม่เป็น จะฝึกขี่อย่ากลัวล้ม ถ้ากลัวล้ม มันจะขี่ไม่เป็น บางคนกลัวล้ม ต้องเอาล้อ 2 ล้อมายันไว้ที่ล้อหลังจะได้ไม่ล้ม มันไม่ล้มก็จริงแต่ว่ามันขี่ไม่เป็น ถอด 2 ล้อเล็กออกเมื่อไหร่ก็ล้มเมื่อนั้น จะขี่จักรยานเป็นมันก็ต้องไม่กลัวล้ม เหมือนกับคนที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นต้องไม่กลัวผิด คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีแต่พูดไม่ได้เลย แอนดรูว์ บิ๊กส์ เป็นฝรั่งสอนภาษาอังกฤษ เขาตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษไม่ก้าวหน้าเลย เพราะกลัวผิดจึงไม่กล้าพูด กลัวผิด Grammar กลัวผิด Tense เลยไม่กล้าพูด พอไม่กล้าพูดก็เลยพูดไม่เป็น   ขณะที่บางคนเขาไม่กลัวผิด ไม่มีหน้าจะต้องรักษา ไม่กลัวเสียเซลฟ์ (self) พูดตะบันไปเลย คนแบบนี้ที่กล้าพูดโดยไม่กลัวผิดจะเรียนภาษาอังกฤษได้เร็ว ที่จริงแอนดรูว์ บิ๊กส์ เขาพูดภาษาไทยได้คล่องเพราะเขาไม่กลัวผิด พูดเรื่อยเปื่อย ผิดก็มีคนแก้ เอาผิดเป็นครู ก็เลยพูดภาษาไทยได้เร็วและสำเนียงก็ได้   ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราปฏิบัติแล้วเรากลัวหลง เราก็จะปฏิบัติได้ช้า เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวหลง บางคนกลัวหลง ก็จะต้องหาทางเพ่ง เอาจิตไปเพ่งที่เท้า เอาจิตไปเพ่งที่มือ มันจะได้ไม่หลง มันจะได้ไม่ฟุ้ง บางทีไม่พอมีคำบริกรรมอีก มีการนับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกลัวหลง กลัวฟุ้ง   มันเหมือนกับเวลาจะข้ามท้องร่อง สมัยก่อนข้ามท้องร่องในสวน เขาใช้ไม้ไผ่แค่ลำเดียว บางคนกลัวตก ต้องมีราวเอาไว้จับ ถ้าไม่มีราวจับมีแต่ลำไม้ไผ่ล้วนๆ ไม่กล้าเดินเพราะกลัวตก การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนเปรียบเหมือนกับการข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว ใหม่ๆ พอข้ามไม่ทันถึงท้องร่อง ยังข้ามไม่ทันถึง ก็ตกเสียแล้ว แต่ถ้าไม่ท้อขึ้นมาใหม่ เดินข้ามอีก แล้วก็ตกอีก ก็ไม่เป็นไร เดินข้ามบ่อยๆ เดี๋ยวก็ข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว   การปฏิบัตินี้ บางคนหวังพึ่งราวก็คือคำบริกรรม คือการเพ่ง คือการนับ ต้องมีราวเพื่ออะไร เพื่อจะได้ไม่ตก แต่ถ้าเราไม่กลัวตก เดินไปเลย มันจะตกก็ช่างมัน ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ สุดท้ายก็เดินข้ามท้องร่องลำไม้ไผ่โดยที่ไม่ต้องมีราวได้ มันเป็นความชำนาญ ที่เกิดจากชั่วโมงบิน เกิดจากการทำบ่อยๆ เหมือนขี่จักรยาน ถ้าไม่กลัวล้ม สุดท้ายก็ขี่ได้คล่อง แต่ถ้ากลัวล้ม ต้องมีคนประคอง ต้องมีล้อ 2 ล้อมาคอยยันไว้ที่ล้อหลัง ไม่ล้มก็จริงแต่ว่าขี่ไม่เป็นหรือขี่ได้ช้า   ฉะนั้นการปฏิบัติแบบนี้อย่าไปกลัวหลง อย่าไปกลัวฟุ้ง อนุญาตหรือให้โอกาสสติได้ทำงานแล้วก็จะมีสติรู้ทัน แล้วเกิดความรู้สึกตัวได้เร็ว เร็วแบบชนิดที่เรียกว่าไม่ทันตั้งตัวเลย อย่างไม่คาดคิด
12/9/202327 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25661009pm--ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล

9 ต.ค. 66 - ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล : การทำงานแบบปล่อยวาง มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพ้อฝัน มันเป็นเรื่องที่ทำได้และควรทำด้วย เพราะส่วนมากคือต้องเข้าใจด้วยว่าการปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ปล่อยวางคืออย่างน้อยก็ปล่อยวางผลที่มุ่งหวัง ปล่อยวางความสำเร็จที่อยากได้ หรือปล่อยวางความสงบหรือว่าสติความรู้สึกตัวที่อยากจะทำให้เกิดมีขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี ประกอบเหตุให้เต็มที่ นี่คือสิ่งที่เราควรทำในขณะที่เรามาปฏิบัติธรรมที่นี่ วางผลเอาไว้ก่อน ผลที่คาดหวัง อย่าให้ความต้องการหรือความปรารถนา ความคาดหวังในผล มารบกวนการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นก็จะเครียด   ถ้าเรารู้จักการปล่อยผล ต่อไปเราก็จะปล่อยวางอื่นได้ ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ ความปวด ความเมื่อย มันก็จะวางได้มากขึ้น ทำงานก็ให้กายทำไป ใจก็เพียงแต่รับรู้ว่ากายกำลังทำอะไร แต่ใจไม่ได้แบกอะไรเลยสักอย่าง ก็จะทำให้การทำงานนี้นอกจากคนทำไม่ทุกข์แล้ว บางทียังจะมีความสนุกหรือมีความสุขกับงาน และงานก็ทำได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
12/8/202324 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25661008pm--อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน

8 ต.ค. 66 - อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน : ใหม่ๆ สติมันงุ่มง่าม กว่าจะตามหาจิตเจอ หลงเข้าไปในป่าในความคิด แต่ว่าพอทำบ่อยๆ มันจะไวมากในการตามหาใจหรือหาจิตจนเจอ หลุดจากความคิด หลุดจากป่าหรือว่าเขาวงกตแห่งความคิด เข้ามาสู่ความรู้สึกตัว กลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้ไวขึ้น เราก็ต้องมีความอดทน ไม่เร่งรีบ ถ้าอยากให้สติทำงานได้เร็ว รู้สึกตัวได้ไว มันมีวิธีเดียวคือทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ ทำซ้ำๆ   จึงบอกว่าสำหรับผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะผู้ฝึกใหม่ต้องเอาปริมาณไว้ก่อน เอาปริมาณเป็นหลัก แล้วคุณภาพจะตามมา สิ่งที่จะช่วยให้เราทำอย่างนี้ได้ก็คือ ลดความคาดหวัง ลดความอยากลง ทำโดยไม่มีความอยากให้เกิดความสำเร็จไวๆ เช่นให้จิตมาสงบเร็วๆ ให้มีความรู้สึกตัวไวๆ ลดความคาดหวัง   แม้ว่าจะไม่ได้หวังความสงบ ความรู้สึกตัว แต่ว่าความรู้สึกตัวบางครั้งมันก็ขึ้น บางครั้งมันก็ลง บางครั้งก็ต่อเนื่อง บางครั้งก็สั้น มันจะเป็นยังไงหน้าที่ของเราคือแค่รู้ รู้เฉยๆ   อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็เปลี่ยนให้เป็นรู้ให้หมด” มันจะง่ายถ้าหากว่าเราเตือนใจของเราอยู่เสมอว่า อะไรเกิดขึ้นกับใจก็แค่รู้เฉยๆ อะไรเกิดขึ้นกับกายก็รู้เฉยๆ เกิดขึ้นกับกาย เช่นปวดเมื่อยหรือว่าสบายก็แค่รู้ ไม่มีการผลักไสและก็ไม่มีการไหลตาม
12/7/202326 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661005pm--ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง

5 ต.ค. 66 - ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง : พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนันทิยะนะว่า อารมณ์ที่น่าพอใจ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เมื่อใดที่มันเกิดขึ้นก็ให้วางไว้ วางไว้ตรงนั้นแหละ อย่านำไปเก็บไปแบกเอาไว้ เช่นเดียวกันเมื่อเจอคำนินทาว่าร้าย หรือว่าลมปากของผู้คน มันก็จะไม่ทำให้ใจสั่นสะเทือน เพราะว่าพอมันเข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวา ไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหวใจกระเพื่อมแต่อย่างใด คำชมก็เหมือนกันนะ คำชมก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าถ้าเขาว่าเราก็ปล่อยวาง แต่พอเขาชมก็เก็บมาคลอเคลีย ซึ่งก็ไม่ใช่ ก็ให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน มีความดีใจก็รู้ มีความยินดีก็รู้แล้วก็วาง ถ้าไม่วางถึงเวลาที่เสียใจก็จะยึดก็จะแบก ถ้าไม่รู้จักวางถึงเวลาที่เกิดความยินร้ายมันก็ยึดก็แบกเหมือนกัน   เพราะฉะนั้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตาม ก็วางทั้งนั้น มันมาเพื่อให้เราเห็นเฉยๆ เห็นแล้วก็วาง และนี่ก็คือวิธีของการปฏิบัติของการประพฤติธรรมที่เราควรจะใส่ใจ
12/6/202327 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ

11 ต.ค. 66- อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย   เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่   ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว   พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
12/5/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661004pm--ลดตัวตนให้เบาบาง

4 ต.ค. 66 - ลดตัวตนให้เบาบาง : ถ้าเราลดตัวตนได้มากเท่าไหร่หรือว่าลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้มากเท่าไหร่ ถึงเวลาที่มีความทุกข์ มันก็ทุกข์น้อย เวลามีใครมาตำหนิต่อว่าก็จะทุกข์น้อย ยิ่งไม่มีตัวตนเลยยิ่งไม่ทุกข์เลยนะ มันเหมือนกับกระจก ถ้าถูกก้อนหินตกลงมากระแทกก็แตก แต่ถ้ามีไม่มีกระจกเลย ก้อนหินตกลงมามันก็ไม่มีอะไรแตก ถ้าเป็นคนก็ไม่เจ็บ คนที่ไม่มีตัวตน มีอะไรมากระทบก็ไม่กระเทือน อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ บทมงคลสูตร ผู้ที่ฝึกจิตไว้ดีแล้ว จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส มีตัวตนน้อย หรือว่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนน้อยมาก พอถึงเวลาปวด เวลาเจ็บ มันก็มีแต่ความเจ็บความปวด ไม่มีผู้ปวด ถ้ามีตัวตนเมื่อไหร่มันก็มีความเป็นผู้ปวด ผู้เจ็บ ผู้สูญเสีย ผู้โกรธ แต่ถ้ามีตัวตนน้อย มีความโกรธแต่ไม่มีผู้โกรธ มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ถึงเวลาตายก็มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย มันจะช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะเลย   แต่ถ้ามีตัวตนหนาแน่นเมื่อไหร่ เวลามีความปวด ก็ไม่ได้มีแต่แค่ความปวด มีผู้ปวดด้วย และปวดมากด้วย เวลามีความโกรธก็มีผู้โกรธ โกรธมากด้วย เวลามีความทุกข์ ไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว มีผู้ทุกข์ ทุกข์มากด้วย   มาช่วยกันลดตัวตน ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วก็สวนทางกับความปรารถนาที่จะมีตัวมีตนเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รู้จัก แม้ว่ามันจะรู้สึกอัดอั้นตันใจเวลาทำดีแล้วอยากจะอวด แต่ถ้าเราลองหักห้ามใจไม่อวด ไม่ให้อาหารกับกิเลส อัตตา หรือมานะ ต่อไปมันก็จะมีจิตใจที่เบาบาง แล้วทุกข์น้อยลง 
12/5/202329 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25661003pm--ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว

3 ต.ค. 66 - ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว : ความดีใจนี่ถ้าเราปล่อยใจหรือจมไปกับมัน มันไม่ใช่ดีนะ มันไม่ใช่แค่ทำให้เราลืมเนื้อลืมตัว หรือไม่รู้สึกตัว ตัวอย่างที่พูดไปสักครู่มันยังทำให้ถึงเวลาที่เราเสียใจ เราก็จะจมอยู่ในความเสียใจได้ง่าย ถ้าเพลินอยู่กับความดีใจมันก็จะจมอยู่กับความเสียใจได้ง่าย เหมือนคนที่หัวเราะเสียงดังดีใจ ถึงเวลาเศร้าใจเขาก็จะร้องไห้เสียงดังเหมือนกัน ถ้าไม่อยากจมอยู่กับความทุกข์ความเสียใจก็อย่าไปเพลิน หรือหลงอยู่กับความดีใจ ฉะนั้นเวลาฝึกดูใจ ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ใช่แค่รู้ทันเฉพาะเวลามีอารมณ์ฝ่ายลบ เช่นความโกรธ ความหงุดหงิด หรือว่าความเครียด แม้กระทั่งอารมณ์ที่เราเรียกว่าอิฏฐารมณ์ น่าพึงพอใจ ก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ให้ตั้งสติ ตั้งการ์ดดู เห็นมันมาแล้วก็ไป   เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนว่าให้รู้จักวางใจให้ดี อย่าไปยินดียินร้าย บางคนสงสัย ยินร้ายน่ะเข้าใจแต่ทำไมไม่ต้องยินดีด้วย อยากจะปล่อยใจให้มันยินดีถ้าไม่อยากยินร้ายก็ต้องฝึกให้ไม่ยินดี หรือถึงแม้ยินดีก็รู้ทัน ถ้าไม่อยากเศร้าเวลาสูญเสีย ไม่อยากโกรธเวลาถูกต่อว่า   เช่นเดียวกัน เวลาได้ก็อย่าไปดีใจมาก หรือเวลาได้รับคำชมก็อย่าไปเหลิง เพราะเรื่องพวกนี้มันเป็นของคู่กัน ดีใจมากก็เสียใจมาก ดีใจกับเสียใจมันใกล้กันมาก เพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่เที่ยง ใจเรามันก็ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น แม้กระทั่งความดีใจยามสมหวัง ยามได้รับชัยชนะ หรือว่าได้โชคได้ลาภก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ต้องฉลาดในการรู้ทันมัน
12/4/202328 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25661002pm--อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก

2 ต.ค. 66 - อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก : แม้ว่าเราจะยังไม่มีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งถึงความจริงว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง พูดง่ายๆ คือไม่รู้ความจริง แต่อย่างน้อยถ้ารู้ทันความอยากที่มันเกิดขึ้น มันก็ช่วยได้เยอะ ไม่รู้สัจธรรม ไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังรู้ทันความอยากที่เกิดขึ้น นั่นก็คือมีสตินั่นเอง พอมีสติ มันก็จะเห็นความอยากที่มาบงการจิต และไม่ต้องทำอะไรกับความอยาก แค่รู้เฉยๆ มันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเอง ไม่ต้องไปอยากให้ไม่อยาก ซึ่งมันหนักเข้าไปใหญ่ เราเพียงแค่รู้ความอยาก เห็นความอยากก็พอ พอมันถูกรู้หรือถูกเห็นด้วยสติ มันก็ค่อยๆ จางคลายไป เพราะว่ามันเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้สึกตัว ความหลงนั่นเอง แต่พอมีสติ มีความรู้สึกตัว ความหลงหาย ความอยากก็ดับไป ไม่มีที่ตั้ง   เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ขึ้นมา ก่อนที่จะไปจัดการกับอะไรต่ออะไรที่เราคิดว่ามันทำให้เราทุกข์ ลองกลับมาดูว่า เป็นเพราะความอยากของเราหรือเปล่า อย่างอาจารย์คนที่เล่าถึงนั้น เขาคิดว่าลูกชายทำให้ตัวเองทุกข์ เพราะลูกชายไม่ยอมเรียนหมอ แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก ลูกชายไม่ได้ทำให้พ่อทุกข์ แต่ความอยากหรือความคาดหวังของพ่อเองต่างหากที่ทำให้พ่อทุกข์ พอพ่อลดความคาดหวังลง หรือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ มันก็หายทุกข์ แล้วแทนที่จะลดความอยาก แทนที่จะขับไล่ความอยาก ก็เพียงแต่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าอยากในสิ่งที่ไม่มีหรืออยากในสิ่งที่ไม่ได้เป็น แค่ยอมรับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ความทุกข์มันก็ลดลง
12/3/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661001pm--ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ

1 ต.ค. 66 - ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ : ความอยากจะเอาชนะ อยากจะเป็นผู้ชนะ มันสนองอัตตาตัวตนเต็มที่ แล้วมันพร้อมที่จะผลักไสให้เราทำชั่วก็ได้ ทำร้ายคนอื่นก็ได้ เพื่อจะเป็นผู้ชนะ หรือถลำเข้าไปในวงจรของอบายมุขเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ แต่มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอมและเป็นชัยชนะที่น่ากลัวมาก สู้ชัยชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชนะตนประเสริฐกว่าชนะผู้อื่นนับร้อยนับพันครั้ง” และ ‘ชนะตน’ ในที่นี้ หมายถึงชนะกิเลสหรืออัตตาด้วย เพราะอัตตามันก็จะพยายามล่อหลอกเราให้สนองหรือปรนเปรอมัน สรรหาเหตุผลมาเพื่อที่จะล่อหลอกให้เราหลง แล้วเวลาที่เราจะชนะกิเลสพวกนี้ได้ มันต้องมีสติมากเลยนะ มีสติที่จะรู้เท่าทันอุบายของตัวอัตตาตัวกิเลสเหล่านี้ มันจะหลอกเรายังไง มันจะบอกว่า “ครั้งเดียวเท่านั้น” หรือ “ครั้งสุดท้ายแล้ว” เราก็ไม่เชื่อนะ ก็เพราะไม่เชื่อนี่แหละนะ จึงทำให้เราเป็นอิสระจากอำนาจของมันได้
12/2/202327 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660930pm--ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้

30 ก.ย. 66 - ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้ : บางทีถ้าหากว่าเราหมั่นถามสักหน่อยนะ แทนที่จะถามว่าใคร แต่ถามว่าอะไร เราก็จะเห็นความจริงได้ ความจริงที่จริงแท้ได้มากขึ้น แทนที่จะถามว่าใครเห็นก็ถามว่าอะไรเห็น แทนที่จะถามว่าใครเดินก็อะไรเดิน แทนที่จะถามว่าใครได้ยินก็ถามว่าอะไรได้ยิน ก็อาจจะพบว่ามันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นจิตที่เห็น มันเป็นจิตที่ได้ยิน จึงมีคำว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ วิญญาณคือการรับรู้ของจิตนั่นเอง คนเราไปติดที่คำว่าใครๆๆ มันก็เลยเห็นแต่ความจริงในระดับสมมติสัจจะ พอมองว่าใครก็มีแต่เรากับเขา แต่ถ้ามองว่าอะไร มันก็จะเห็นรูปเห็นนาม แล้วต่อไปก็จะเห็นเป็นขันธ์ 5 แล้วถ้าเรามองอะไร แทนที่จะมองว่าใคร มันก็จะเห็นขันธ์ 5 หรือ รูป นาม กาย ใจ ซึ่งเป็นความจริงแท้ แต่ถ้าเราเอาแต่ถามว่าใครๆๆ มันก็จะเห็นความจริงระดับสมมุติสัจจะ ซึ่งมันก็พาเราไปสู่ความหลงได้ง่าย   แต่ในชีวิตจริงเราก็คงหนีไม่พ้นนะที่จะต้องถามว่าใครๆๆ แต่ถ้าถามว่าอะไรบ้างก็ดี โดยเฉพาะถามในลักษณะที่ทำให้สาวไปถึงเหตุ สาวไปถึงปัจจัย อย่างเช่น เวลาเราเห็นอุบัติเหตุ หรือว่าอาชญากรรม แทนที่เราจะถามว่าใครทำ เราถามว่า “อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุเหล่านั้น” ใครฆ่าหรือว่าใครทำ มันอาจจะไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับว่า อะไรที่ทำให้เกิดเหตุเหล่านั้นขึ้น อาจเป็นเพราะยาบ้า เป็นเพราะว่าการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะสังคมทำให้คนหลงผิด เกิดความโลภเกิดความหลง อันนี้ก็ทำให้สาวไปสู่การแก้ปัญหา   แล้วก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระโมลิยะที่ถามว่า “ใครเสวยเวทนา” ที่ถามผิดนี่ถามผิด ยังถามไม่ถูก ต้องถามว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สุดท้ายก็จะพบสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ซึ่งใครทุกข์นี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดทุกข์ แล้วสุดท้ายก็จะพบว่า กระบวนการก่อทุกข์ก็คือปฏิจจสมุปบาท   สังเกตนะ ปฏิจจสมุปบาทไม่มีคำว่าใครเลย ไม่มีใครเป็นผู้ก่อเหตุ ไม่มีใครเป็นผู้รับผล มันมีแต่อะไร เเละนี่เป็นการมองที่ทำให้เห็นความจริงที่ช่วยพาให้ออกจากทุกข์ได้
12/1/202328 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25660929pm--ทุกข์มาให้รู้

29 ก.ย. 66 - ทุกข์มาให้รู้ : พอเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ใจมันก็จะหน่าย ไม่อยากจะยึดแล้ว แต่ก่อนเห็นว่าอะไรๆ ก็เป็นสุข มันก็เลยยึด รวมทั้งร่างกายนี้ พอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา แต่พอเห็นว่าเป็นตัวทุกข์ มันก็วาง นี่เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นความจริง พอรู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ จิตมันก็คลาย ไม่ยึดมั่นถือมั่น พอจิตไม่มั่นถือมั่นมันก็พ้นทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” เพราะฉะนั้นการรู้ทุกข์สำคัญนะ เราไม่ได้รู้ด้วยการท่องจำเอา ทีแรกรู้ด้วยสติ ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยเวลามันเกิดทุกข์ที่กาย ก็ไม่ไปยึดว่าฉันทุกข์ เวลามันมีความปวดที่กาย ก็ไม่ยึดมั่นสำคัญว่าฉันปวด เรียกว่าเห็นความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด เวลามีความโศกความเศร้าเกิดขึ้น หรือความโกรธก็เห็นมัน เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว ถ้าเกิดว่าเราหมั่นฝึกรู้ทุกข์บ่อยๆ ด้วยการเอาสติมาดูกายดูใจอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเห็นทุกข์ได้ไวขึ้น และเห็นทุกข์เมื่อไร มันก็ไม่เป็นทุกข์เมื่อนั้น
11/30/202329 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25660928pm--มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา

28 ก.ย. 66 - มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา : มันมี 2 สิ่งนะที่คนส่วนใหญ่เสียใจ 1 ทำโดยไม่ได้คิด 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำ” ทำโดยไม่คิดก็คือว่าจะทำด้วยอำนาจของกิเลสหรือด้วยอำนาจของราคะหรือโทสะเรียกว่าทำโดยไม่คิดเสร็จแล้วก็มาเสียใจว่าฉันไม่น่าเลย ไม่น่าพลั้งเผลอ รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่าหรือ ประเภทที่ 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำเพราะว่าอาจจะคิดว่าเดี๋ยวก็ทำวันหลังก็แล้วกันผัดผ่อนไปเรื่อยคิดว่ามีเวลาแต่ลืมไปว่าความตาย หรืออย่าว่าแต่ความตายเลย ความเจ็บป่วยไม่รอใคร ถึงแม้ไม่ตายแต่ความเจ็บป่วยก็ทำให้ไอ้สิ่งที่คิดและอยากจะทำสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ฉะนั้นคนเราถ้าหากว่ามาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจหรือเสียดาย ก็ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างหนึ่ง จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ถูกเพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับโชค มันเกี่ยวกับเรื่องของการที่รู้จักวางแผนชีวิตอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ เมื่อเรามาถึง ระยะท้ายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำ ไม่มีความปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่   ถ้าคนเรามาถึงตระหนักตรงนี้หรือมาพบว่าไม่มีความจำเป็นที่จะย้อนเวลากลับไป เพราะที่ทำก็ทำดีที่สุดแล้ว อันนี้ก็ถือว่ามีชีวิตที่น่าภาคภูมิใจซึ่งเราทุกคนนี่ก็สามารถจะทำอย่างนั้นได้ถ้าหากว่าเรารู้จักวางแผนชีวิต แล้วก็มีสติกับการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะให้เวลากับการฝึกฝนปฏิบัติธรรมให้เวลากับจิตกับใจของตัวนอกเหนือจากเรื่องของสุขภาพและก็ครอบครัว 
11/29/202322 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660927pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา

27 ก.ย. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม 
11/28/202329 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25660926pm--อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา

26 ก.ย. 66 - อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา : อย่างที่ครูบาอาจารย์หรือว่าพระอรหันต์หลายท่านก็ใช้ตัณหาละตัณหา ใช้มานะละมานะ เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรานี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามีท่าทีกับมันอย่างไร เราปฏิบัติกับมันอย่างไร คือรู้สึกกับมันอย่างไร หรือใช้ประโยชน์กับมันได้แค่ไหน หรือปล่อยให้มันเข้ามามีอำนาจครองใจเรา อันนี้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือสิ่งที่เกิดในใจของเรานะ มันก็เหมือนกันหมดนะ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะดีหรือไม่อยู่ที่เรา จะดีหรือร้ายหรือไม่อยู่ที่เรา หรืออยู่ที่การปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติได้ดี ปฏิบัติได้ถูกต้อง ของดีก็ทำให้เกิดประโยชน์ โชคลาภก็ทำให้เกิดประโยชน์ หรือแม้จะเป็นเคราะห์ ความยากลำบาก ความเจ็บป่วย หรือความทุกข์ มันก็กลายเป็นของดีได้นะ ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้มัน และอันนี้แหละคือเคล็ดลับสำคัญนะในการที่คนเราจะเป็นอิสระจากความทุกข์ หรือว่าสามารถที่จะยกจิตยกใจอยู่เหนือสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่ารอบตัวเรา กับชีวิตของเรา หรือว่าในใจของเรา 
11/27/202327 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25660925pm--ความอยากที่ควรรู้ทัน

25 ก.ย. 66 - ความอยากที่ควรรู้ทัน : อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปรู้สึกลบกับมัน ไปโรมรันพันตูกับมัน อยากขับไสไล่ส่งมัน มันยิ่งดื้อด้าน แต่พอเราไม่มีอาการแบบนั้น จะอยู่ก็อยู่ไปฉันไม่ว่าอะไร พอเราวางใจแบบนี้ มันกลับค่อยๆ ล่าถอยไป อารมณ์ความคิดมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติ ลองสอบถามหรือตรวจสอบใคร่ครวญดูว่าลึกๆ ในใจเรามีความรู้สึกอยากจะกำจัดความคิดและอารมณ์ต่างๆ ออกไปจากใจหรือเปล่า ลองใช้สติตรวจสอบ ก็อาจจะพบว่ามันมีความคิดนี้ซุกซ่อนอยู่ ที่มันคอยบงการอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติของเรา ถ้าเห็นก็ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ก็แค่รู้ว่ามันมีอยู่ เพียงแค่มันถูกรู้ถูกเห็น มันก็คลายพิษสงลงแล้ว มันก็จะไม่มาบงการจิตใจของเราต่อไป   แม้กระทั่งความอยากที่จะให้สิ่งต่างๆ หายไปหรืออยากจะกำจัดสิ่งต่างๆ ความอยากแบบนี้เราก็ไม่ควรจะอยากกำจัดให้มันหายไปจากใจเหมือนกัน อย่าไปอยากซ้อนอยาก ก็แค่รับรู้มันเฉยๆ แล้วก็รู้ว่ามันเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ล่าถอยไปเอง 
11/26/202328 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25660924pm--ขยันรู้ ขยันดู

24 ก.ย. 66 - ขยันรู้ ขยันดู : ธรรมชาติของคนเราสมัยนี้มันชอบไปบงการบังคับควบคุมจัดการกับอะไรต่ออะไรมากมาย ถึงเวลามาปฏิบัติก็มาพยายามบังคับควบคุมจัดการกับจิต แทนที่จะปล่อยให้จิตเป็นอิสระเป็นธรรมชาติ และหน้าที่ของเราคือให้สติได้มารู้มาเห็น ถ้าหากว่าเราปล่อยให้สติเขาทำงาน ใหม่ๆ อาจจะเงอะงะงุ่มง่าม ช้านะ เหมือนกับสมัยที่เราอยู่ ป.1 ป.2 เวลาท่องสูตรคูณ มันต้องนึกอยู่นาน 5x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน 9x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน แต่พอเราท่องบ่อยๆ หรือทำเลขบ่อยๆ มันออกมาเลยทันที 5x8=40 9x8=72 นั่นเพราะอะไร เพราะทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ แต่ใหม่ๆ มันงุ่มง่ามอยู่แล้ว มันจะนึกคำตอบนี่ช้ามาก เหมือนกับสติของเรา จะให้มันรู้มันเห็นความคิดและอารมณ์ใหม่ๆ มันช้า แต่เราอย่าใจร้อน เราให้โอกาสเขา เพราะว่าเรื่องนี้มันต้องให้สติรู้เองเห็นเอง อย่าไปทำแทนสติ ต้องเปิดโอกาสให้สติได้ทำงาน สติก็จะเติบโต เมื่อสติเติบโตแล้วก็จะทำงานแทนเรา เวลาเผลอก็เผลอไม่นาน สติมาบอกเลยนะว่าตอนนี้กำลังฟุ้งแล้ว มันรู้ทัน มันเห็นความคิดและอารมณ์ได้ทันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย หลักการเจริญสติที่นี่ไม่มีอะไรมาก ขยันรู้อย่างเดียวเลย รู้ตะพึดตะพือ อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็รู้อย่างเดียว ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง 
11/25/202329 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25660923pm--ทำบุญอย่าทิ้งธรรม

23 ก.ย. 66 - ทำบุญอย่าทิ้งธรรม : ธรรมะสามารถจะเข้าสู่ใจเราได้ ประการแรกด้วยการฟัง เรียกว่าสุตมยปัญญา การฟังแต่ฟังแล้วไม่พอจะต้องใคร่ครวญด้วย ใคร่ครวญจากประสบการณ์ของผู้คนมากมายที่เคยรุ่งแล้วก็ร่วง หรือว่าเคยสำเร็จแต่แล้วก็ล้มเหลว ชีวิตเคยขึ้นแต่แล้วก็ลง ถ้าเราคอยใคร่ครวญ แบบนี้เรียกว่าจินตามยปัญญา หรือที่ดียิ่งกว่านั้นคือภาวนามยปัญญา คือปฏิบัติธรรม อันนี้ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับชาวพุทธจำนวนมาก จะให้มาทำบุญน่ะได้ แต่จะให้มาปฏิบัติธรรมน่ะฉันไม่เอา มักจะพูดว่าฉันยังไม่ทุกข์จะปฏิบัติธรรมไปทำไม รอให้แก่ก่อน แต่ถึงเวลาแก่ก็เลี่ยงไปเรื่อยๆ   ภาวนามยปัญญาคือการเจริญสติ การทำสมาธิ การทำกรรมฐาน เป็นหนทางแห่งการเปิดใจให้เข้าถึงธรรม อนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าได้แต่เรียนรู้ผ่านการฟังเท่านั้นมันไม่ซาบซึ้งถึงใจนะ ถึงเวลาเกิดเหตุก็ลืม ลืมไปเลยนะเพราะว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา แต่ถ้าเราภาวนาจนเห็นรูปเห็นนาม โดยเฉพาะความคิดอารมณ์ที่มันไม่เที่ยง มันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ก็จะเข้าใจซาบซึ้ง   พอเข้าใจไตรลักษณ์แล้ว มันจะไม่ลืมหรือลืมยาก ถึงเวลาเกิดความผันผวนแปรปรวนขึ้นมาในชีวิต ก็ทำใจได้ ยอมรับได้ ไม่บ่นโวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่คร่ำครวญ เพราะรู้จักใคร่ครวญจากประสบการณ์ทั้งจากการปฏิบัติธรรม และจากการดำเนินชีวิต ที่สำคัญคือทำให้มีธรรมะรักษาใจ ได้แก่ สติ สมาธิ ปัญญา อันนี้เป็นของที่ประเสริฐกว่าบุญที่เราเข้าใจเสียอีก   เพราะฉะนั้น อย่าคิดแต่จะเอาบุญนะ แต่ว่าให้เปิดใจรับฟังธรรมะด้วย ถ้าเอาบุญแต่ว่าเมินธรรมะ ก็ถือว่าชีวิตยังมีความเสี่ยง ทำบุญน่ะดีแล้ว แต่ว่าต้องอย่าลืมธรรมะด้วย 
11/24/202328 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25660922pm--ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้

22 ก.ย. 66 - ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ : ความอยากนี้แปลกนะ ยิ่งอยากเท่าไหร่ยิ่งได้ผลตรงข้าม อยากเลิกเหล้ากลับกินเหล้าหนักขึ้น อยากหายป่วยกลับป่วยหนักขึ้น อยากให้มันสงบมันกลับจะฟุ้งหรือเครียดหนักขึ้น ฉะนั้นเวลาปฏิบัติต้องกลับมาดูนะ มาตรวจสอบดูว่ามันมีความอยากไหม ถ้าเห็นความอยากอย่าไปกดข่มมัน ให้รู้สึกเป็นกลางกับมัน แค่รู้เฉยๆ มันก็มากพอที่จะทำให้มันไม่สามารถบงการจิตใจได้ อย่าประเภทว่า จะอยากให้ไม่อยากนะ ถ้าอยากให้ไม่อยาก มันจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ก็แค่ดูมันเฉยๆ รู้ทันมันเฉยๆ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแต่ไม่ไหลตามมัน เรียกว่ารู้ซื่อๆ มันก็จะไม่มาบงการจิตใจเรา ทำให้เกิดความเพี้ยนหรือว่าเกิดอาการเหวี่ยงวีน 
11/23/202326 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660921pm--ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง

21 ก.ย. 66 - ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง : คำว่าทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส ก็คือการทำกิจแล้วก็ทำจิต ทำเต็มที่คือขยันหมั่นเพียร ใส่ใจพิจารณาว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่ขณะเดียวกันใจก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลสำเร็จ ใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปชะเง้อมองอนาคตหรือผลที่มุ่งหวัง เพราะถ้าทำไปแต่ใจไปอยู่กับผลสำเร็จ หรือผลที่คาดหวัง มันทุกข์นะ แม้แต่เพียงแค่เดินทางไปเที่ยวหลายคนก็ทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปนึกแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึง ทั้งที่ไปเที่ยวแท้ๆ แต่ใจทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปอยู่ที่เป้าหมาย พอใจอยู่ที่เป้าหมายนั้นก็จะมีความรู้สึกว่าเมื่อไรจะถึง สักที ทำดีหรือทำอะไรเพื่อส่วนรวม หรือแม้กระทั่งทำการงานส่วนตัว หากว่าจิตมันไปอยู่ที่เป้าหมายอยูที่ความสำเร็จ มันก็จะทุกข์นะว่าเมื่อไหร่จะถึง แต่พอถอนจิตออกจากเป้าหมายที่มุงหวัง มาอยู่กับปัจจุบัน ก็ทำได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์เรียกว่าทำได้เต็มที่แต่ไม่ซีเรียส จะเรียกว่าทำด้วยจิตปล่อยวางก็ได้ หรือทำด้วยใจที่อยู่กับปัจจุบัน   เพราะฉะนั้นการทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และควรทำด้วย และนี่คือสิ่งที่ตรงกับคำสอนของพุทธศาสนาที่ท่านสอนให้ทำกิจแล้วก็ทำจิตไปพร้อมๆ กัน 
11/22/202329 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660920pm--ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา

20 ก.ย. 66 - ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา : เราต้องรู้จักแยกแยะนะ ใครทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นปัญหาของเรา หรืออย่าเอามาเป็นเครื่องกีดขวางการทำความดีของเรา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อแม่ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ว่าเขาจะทำดีหรือไม่ มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนหน้าที่ของเราคือทำความดีเท่าที่เราจะทำได้ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ใครทำคนนั้นก็ได้ เราไม่ควรจะทำดีเพียงเพราะว่าจะมีคนชื่นชมสรรเสริญ หรือเพียงเพราะว่าทำแล้วเขาจะเห็นความดีของเรา หรือทำแล้วเขาจะสำนึกในบุญคุณของเรา ถ้าเราทำดีโดยมีเงื่อนไข มันก็ไม่ใช่การทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเราทำดีโดยที่ไม่สนว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร หรือไม่สนแม้กระทั่งว่าคนที่เราทำเขาจะมีกิริยาหรือพฤติกรรมอย่างไร   ตราบใดสิ่งที่เราทำมันเป็นความดี แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ทำไปเถอะ แล้วอย่าทำให้พฤติกรรมของเขา มาเป็นเครื่องกีดขวางการทำดีของเรา พูดง่ายๆ คือว่า เขาทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเราไม่สน เรายังทำดีต่อไปเรื่อยๆ